การควบคุมการผลิตแอลกอฮอล์ในประเทศไทย 

ในประเทศไทยมีการควบคุมการผลิตและการขายแอลกอฮอล์เป็นอย่างมากทำให้ผู้ที่สามารถ Craft Beer ต่างๆสามารถทำผลิตภัณฑ์ของตัวเองและขายในประเทศไทยได้นี่เป็นปัญหาหลักที่ยังไม่ถูกแก้ไขในปัจจุบันมีหลายคนบอกว่าการควบคุมแอลกอฮอล์ในประเทศไทย

คือการซื้อสัมปทานที่เพื่อต่อคุณนายทุนเป็นอย่างมากตามข้อกำหนดของกฎหมายต่างๆที่ออกมาโดยที่ไม่มีการแก้ไขทำให้ผู้ผลิตเบียร์ Craft ต่างๆไม่สามารถนำผลิตภัณฑ์ของตัวเองนำมาขายได้เพราะว่าข้อกำหนดต่างๆไม่ว่าจะเป็นจำนวนการผลิตต่อปีที่เทียบแล้วจำเป็นต้องมีบริษัทหรือโรงงานที่ใหญ่มาก

ในการกลั่นเหล้าหรือเบียร์เพื่อขายนั่นจึงทำให้ผู้ค้ารายเล็กไม่สามารถนำออกมาขายได้และยังมีการตรวจจับการคราฟเบียร์หรือการทำแอลกอฮอล์อย่างพื้นบ้านส่วนหนึ่งเกี่ยวกับด้านคุณภาพเพราะหากปล่อยให้ทุกคนสามารถทำได้โดยไม่มีการควบคุมต่างๆ

จะทำให้มีการทำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่องส่งผลให้คนที่ได้รับสินค้าเหล่านั้นเข้าไปอาจจะเกิดผลเสียในร่างกายตามมาก็เป็นได้จึงทำให้รัฐมีการควบคุมการผลิตสินค้าต่างๆไม่ว่าจะเป็นทางด้านเบียร์ทางด้านเล่าการต่างๆก็จะมีการควบคุมเพราะก่อนหน้านี้ภูมิปัญญาชาวบ้าน

มีการทำสาโทหรือแม้แต่เหล้าหมักทานเองในบ้านหรือตามหมู่บ้านตัวเองน้ำออกมาทานตอนที่หมู่บ้านของตัวเองมีการจัดงานเฉลิมฉลองหรือเป็นงานเลี้ยงต่างๆก็จะนำของเหล่านี้นำมาเลี้ยงแขกที่มาร่วมในงานลดค่าใช้จ่ายต่างๆเพราะว่าในการทำแอลกอฮอล์ต่างๆมีการใช้งบประมาณหรือเงินลงทุนที่ต่ำเป็นอย่างมาก

แต่ว่าสิ่งที่ต้องใช้คืนระยะเวลาในการหมกหรือหมัก ในการที่จะเปิดโรงหมักเบียร์ได้นั้นมีอุปสรรคอย่างมากว่าจะแลกได้ก็คือต้องมีเงินทุนในการจดทะเบียนอย่างน้อยที่สุดในโลกคือ 10 ล้านบาทเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากๆสำหรับนักลงทุนขนาดเล็กไม่สามารถมีการต่อสู้ในตลาดได้อย่างแน่นอน

และอีกหนึ่งอย่างที่เป็นปัญหานั้นก็คือการที่ต้องผลิตเบียร์อย่างน้อยที่สุดคือ 10 ล้านลิตรต่อ 1 ปีซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากหากมีการผลิตออกมาแล้วไม่สามารถขายได้นั้นจึงทำให้คนที่ลงทุนต่างๆไม่กล้าเสี่ยงที่จะลงทุนนี่คือการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตรายใหญ่อย่างแน่นอน

เพราะว่าการครองตลาดอย่างต่อเนื่องของาสามสี่เจ้าที่มีการขายไม่อยากต่อเนื่องมากกว่า 10 ปีแล้วในประเทศไทยยังไม่มีใครสามารถขึ้นมาเพื่อชิงตำแหน่งหรือแยกส่วนแบ่งทางการตลาดนี้ได้การที่ผลิตเหล้าออกมาหรือเมล์มาเป็นจำนวน 10 ล้านลิตรต่อ 1 ปี

ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะสามารถขายได้เพราะว่าใน 1 ปีต้องทำเหล้าขนาดนั้นออกมาแต่ยังไม่มีการทดลองตลาดว่ามีรสชาติไหนที่สามารถให้คนอ่านได้นี่จึงเป็นความท้าทายเป็นอย่างมากของนักลงทุนและในปัจจุบันมีการคาดหวังไว้ว่าจะมีผู้ที่เข้ามาช่วงชิงตำแหน่งส่วนแบ่งทางการตลาดในปัจจุบันมีคน Craft Beer เยอะมาก

แต่ว่าไม่มีการทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจังไม่มีการต่อสู้ทางด้านการตลาดอาจจะทำให้เราเห็นผู้ค้ารายใหม่ๆเกิดขึ้นก็เป็นได้

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  ufabet บาคาร่าออนไลน์

ปัญหาธุรกิจการส่งออกหยุดชะงัก

 ตอนนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็กำลังประสบปัญหาเหมือนกันหมดนั่นก็คือการพยายามที่จะแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งนับวันไวรัสชนิดนี้ยิ่งนับว่ามีความรุนแรงมากขึ้นทุกปีผู้คนต่างเชื้อไวรัสนี้กันเป็นจำนวนมากรวมถึงมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มากขึ้นเรื่อยๆสำหรับประเทศไทยเองถือว่ายังนี่เข้าขั้นวิกฤตมากนัก

หากต้องเทียบกับต่างประเทศเช่นอิตาลีหรือแม้แต่อเมริกาเองก็ตามและถึงแม้ประเทศไทยจะยังไม่ต้องถึงขนาดปิดประเทศห้ามคนคนเข้าประเทศนั้นในปัจจุบันนี้การที่ในประเทศไทยยังมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ก็สร้างผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งปัจจุบันธุรกิจการส่งออกของประเทศไทยลดลงอย่างเห็นได้ชัดการส่งออกบางรายการถูกรัฐบาลประกาศถ้าให้ส่งสินค้าออกไปอย่างเช่นเจลล้างมืออุปกรณ์ทางการแพทย์หรือแม้แต่หน้ากากอนามัยเพราะจำเป็นจะต้องนำมาใช้ให้กับคนภายในประเทศไทย

ซึ่งขณะนี้ยังขาดแคลนอุปกรณ์การใช้งานเหล่านี้อยู่มากแต่อย่างไรก็ตามถึงแม้สินค้าบางรายการรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ออกกฎห้ามเรื่องของการส่งออกแต่ต่างประเทศก็หยุดชะงักในเรื่องของการรับซื้อสินค้าเนื่องจากทุกประเทศกำลังประสบปัญหาเหมือนกันหมดนั่นคือต่างก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19กัน

อยู่ส่วนใหญ่ประเทศต่างๆพยายามที่จะงดการนำสินค้าออกรวมถึงการรับสินค้าเข้าประเทศเพื่อต้องการที่จะลดความเสี่ยงในการที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด-19เป็นมากขึ้นดังนั้นตอนนี้ธุรกิจการส่งออกจึงถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่หยุดชะงักพอๆกับธุรกิจการท่องเที่ยวเลยทีเดียว

     หลายคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของการส่งออกปัจจุบันต้องปิดกิจการลงไปเพราะว่าไม่สามารถส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้บางคนถึงขนาดล้มละลายเพราะมีการลงทุนไปมากแต่สินค้ากับส่งออกไปไม่ได้และเมื่อปล่อยไว้เป็นเวลานานสินค้าบางรายการก็อาจจะเสียหายทำให้เงินที่ลงทุนไปขาดทุนจนเจ้าของธุรกิจ

บางรายถึงขนาดจำเป็นต้องฆ่าตัวตายเพราะหนี้สินรุงรังมากมายจากการที่ลงทุนไปแล้วไม่สามารถนำสินค้าออกไปขายได้จะเห็นได้ว่าปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมีผลกระทบกับทุกภาคส่วนไม่ใช่กระทบแค่เฉพาะวงการแพทย์เท่านั้นแต่ยังกระทบไปถึงการท่องเที่ยวรวมถึงการส่งออกและปัจจุบันยังกระทบเกี่ยวกับเรื่องของการเดินทาง

เพราะพบว่ามีการแพร่ระบาดและมีผู้ติดเชื้ออย่างมากในช่วงที่มีการเดินทางจากกรุงเทพฯไปต่างจังหวัดอย่างเช่นการนั่งรถตู้ไปซึ่งเป็นการแพร่ระบาดได้เนื่องจากนั่งรวมกันอัดอยู่ในพื้นที่แคบซึ่งถ้าหากว่าเราไม่รีบแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ให้หมดไปจากประเทศแล้วก็เศรษฐกิจของประเทศไทยจะยิ่งแย่ลงมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แน่นอน 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ทดลองเล่น gclub

มาทำความรู้จักกับความมั่งคั่ง

ความมั่งคั่งคืออะไร หลายคนตั้งคำถามกับความหมายนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความมั่งคั่งคือ มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิหรือความมั่งคั่งสุทธิ ของบุคคล ซึ่งก็คือ สินทรัพย์รวม ลบ ด้วยหนี้สินรวม นั่นเอง ซึ่งความมั่งคั่งส่วนใหญ่ก็มาจากการออม การลงทุน หรือมรดก

ซึ่งหากคนที่รู้จักการบริหารความมั่งคั่งคือ เค้าจะไม่นำความมั่งคั่งออกไปใช้จ่ายในการดำรงชีพ ยกเว้นเมื่อรายได้ประจำหยุดไปแล้ว แล้วเราควรมีอะไรอยู่ในความมั่งคั่งบ้างถึงจะดี

  1. สินทรัพย์สภาพคล่อง ได้แก่เงินสด เงินฝากระยะสั้น กองทุน เพื่อสำรองใช้จ่ายวันต่อวันและสำรองในกรณีฉุกเฉินอย่างน้อยหกเดือน เพราะถ้าหากสำรองมากกว่านี้ อาจจะทำให้เสียโอกาสในความมั่งคั่งกลุ่มที่สอง
  2. สินทรัพย์เพื่อการลงทุน เพื่อสร้างรายได้ หรือสร้างมูลค่า เช่นเงินฝากระยะยาว อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ซึ่งกฎของมันคือ ความมั่งคั่งจะเติบโตได้ดี ถ้าเรามีสัดส่วนของสินทรัพย์เพื่อการลงทุน มากกว่า 50% ของความมั่งคั่งทั้งหมด
  3. สินทรัพย์ส่วนตัว เช่นที่อยู่อาศัย รถยนต์ หรือของใช้อื่นๆ หากเสียเงินซื้อกับสินทรัพย์ประเภทนี้เกินไปก็จะทำให้เสียโอกาสในการลงทุน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้น ข้อสามนี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จการเงินบางท่าน ไม่นำมาเป็นสินทรัพย์ด้วยซ้ำ แต่บางท่านอาจจะมองว่า ถ้าได้มีการคัดกรองก่อนซื้อด้วยการประมาณราคาและโอกาสขายต่อในอนาคต แล้วมันสามารถเพิ่มความมั่งคั่งได้ก็อาจจะเป็นข้อยกเว้น เช่น บ้านพักอาศัย ของสะสม เครื่องประดับ แต่ในทางตรงกันข้ามควรหลีกเลี่ยงสินทรัพย์ราคาสูงด้อยค่าเร็วหรือซื้อแล้วมีค่าใช้จ่ายแฝงสูงตามมา เช่น รถยนต์

แล้วเคยคิดไหมว่า ทำไมการสร้างความมั่งคั่งจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน เพราะความมั่งคั่งนั้นสามารถแปลงเป็นปัจจัยที่สนองความต้องการทุกระดับของมนุษย์ เช่น ความต้องการในด้านปัจจัยสี่ ความปลอดภัย ความรักการเป็นเจ้าของ ความภาคภูมิใจ และความสมบูรณ์แบบของชีวิต

และยังมีปัจจัยอื่นที่เร่งความสำคัญของการสร้างความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และปัจจัยเชิงบวก โดยถ้าหากจะมองว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองมั่งคั่งนั้น เราควรจะต้อง

บริหารความมั่งคั่ง ด้วยการวางแผนทางการเงินแบ่งเป็นหลายแผนครอบคลุมทุกความต้องการทางการเงิน โดยกำหนดเป้าหมายและแผนปฏิบัติเพื่อให้ทั้งหมดเป็นจริง เพราะการบริหารความมั่งคั่งด้วยการมีแผนทางการเงิน จะทำให้เราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและความต้องการที่เราอยากมีอยากได้ ให้อยู่ในกรอบที่มันควรจะเป็น และเป็นสิ่งที่คอยเตือนเราอยู่เสมอเมื่อครั้งใดก็ตามที่เรากำลังจะหลุดจากแผนที่เราได้กำหนดไว้

 

ขอขอบคุณ  sa gaming vip ทดลอง เล่น  ที่ให้การสนับสนุน

คนตายจากพิษเศรษฐกิจ

คงต้องยอมรับกันแล้วว่าความรุนแรงของการแพร่ระบาดไข้ไวรัสโควิด19 นั้น มีอานุภาพทำลายอย่างร้ายแรง จนทำให้แต่ละประเทศสะบักสะบอมกันไปหมด ซึ่งปัญหาใหญ่ที่จะตามมาของคนทั่วโลกคือ เศรษฐกิจโลกกำลังจะพัง เพราะผู้คนต่างล้มป่วย

และหยุดการทำงานในหลายๆ ภาคส่วน มีการหยุดและยุติการส่งออกระหว่างประเทศ และการค้าในแต่ละประเทศเองก็ซบเซาด้วยปัญหาคนออกจากบ้านไม่ได้ ซึ่งในส่วนของประเทศไทย จากที่แบงค์ชาติเคยประเมินไว้ตอนสิ้นปีว่า เศรษฐกิจไทยจะโตขึ้น สองจุดแปดเปอร์เซ็นต์

แต่ตอนนี้จะกลายเป็นติดลบห้าจุดสามเปอร์เซ็นต์แทน ซึ่งเป็นอัตราติดลบทางด้านเศรษฐกิจที่หนักที่สุดในรอบยี่สิบสองปี นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2541 ซึ่งผลจากการระบาดของไวรัสตัวนี้ทางแบงค์ชาติเชื้อว่ามันจะถูกควบคุมได้ในเดือนเมษายน

แต่การฟื้นตัวนักท่องเที่ยวยังคงต้องใช้เวลา และการส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัด หากมีการควบคุมการแพร่ระบาดและหาวัคซีนที่รักษาได้ ก็ต้องดูอีกว่านโยบายของประเทศไทยจะสามารถทำได้เพียงใด

การหดตัวของจีดีพี น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะผลจากภาคส่งออกสินค้า ซึ่งรวมกับการท่องเที่ยว ดูแนวโน้มจะมีสถานการณ์ที่รุนแรงในช่วงไตรมาส2  ยิ่งถ้าดูจากนโยบายหรือมาตรการที่ภาครัฐทำไว้นั้น เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าการระบาดของไข้ไวรัสโควิด19 นี้

ในอนาคตข้างหน้าน่าจะยังคงมีความทวีรุนแรงอีกขึ้นเรื่อยๆ และกว่าจะควบคุมได้คงต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน ซึ่งก็จะข้าสู่ต้นไตรมาสสามกันแล้ว และกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวคงต้องใช้เวลาอีกหนึ่งไตรมาส รวมกันก็ต้องดูคู่ค้าของเราอีกต่อว่า เค้าแข็งแรงและพร้อมเร็วแค่ไหน

ดังนั้นมันเหมือนห่วงโซ่  ที่กระทบกันเป็นลูกโซ่ ไปยังภาคธุรกิจและรายได้ครัวเรือนของประชาชนจนกลายเป็นวงกว้าง การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนก็หดตัวลงไป ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคนที่เป็นหนี้แบงค์ไม่มีจ่ายหนี้ แบงค์เองก็จะมีหนี้เสียเพิ่มมากขึ้น และเมื่อแบงก์เองมีหนี้เสีย

ก็จะไม่ปล่อยเงินกู้ต่อลมหายใจให้กับลูกหนี้อีก ถึงตอนนั้นธุรกิจแต่ละที่ก็จะลดเงินเดือน และจำนวนพนักงาน เพราะสายป่านไม่พอ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะมีกลุ่มคนที่ตกงาน และไม่มีรายได้ นั่นคือสาเหตุที่หากบางคนไม่มีทางออกก็อาจจะเลือกวิธีตัดช่องน้อยแต่พอตัว ซึ่งก็จะทำให้มีคนตายจากพิษเศรษฐกิจ มากกว่าไข้ไวรัสโควิด 19

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เซ๊กซี่บาคาร่าเกมส์66