การควบคุมการผลิตแอลกอฮอล์ในประเทศไทย 

ในประเทศไทยมีการควบคุมการผลิตและการขายแอลกอฮอล์เป็นอย่างมากทำให้ผู้ที่สามารถ Craft Beer ต่างๆสามารถทำผลิตภัณฑ์ของตัวเองและขายในประเทศไทยได้นี่เป็นปัญหาหลักที่ยังไม่ถูกแก้ไขในปัจจุบันมีหลายคนบอกว่าการควบคุมแอลกอฮอล์ในประเทศไทย

คือการซื้อสัมปทานที่เพื่อต่อคุณนายทุนเป็นอย่างมากตามข้อกำหนดของกฎหมายต่างๆที่ออกมาโดยที่ไม่มีการแก้ไขทำให้ผู้ผลิตเบียร์ Craft ต่างๆไม่สามารถนำผลิตภัณฑ์ของตัวเองนำมาขายได้เพราะว่าข้อกำหนดต่างๆไม่ว่าจะเป็นจำนวนการผลิตต่อปีที่เทียบแล้วจำเป็นต้องมีบริษัทหรือโรงงานที่ใหญ่มาก

ในการกลั่นเหล้าหรือเบียร์เพื่อขายนั่นจึงทำให้ผู้ค้ารายเล็กไม่สามารถนำออกมาขายได้และยังมีการตรวจจับการคราฟเบียร์หรือการทำแอลกอฮอล์อย่างพื้นบ้านส่วนหนึ่งเกี่ยวกับด้านคุณภาพเพราะหากปล่อยให้ทุกคนสามารถทำได้โดยไม่มีการควบคุมต่างๆ

จะทำให้มีการทำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่องส่งผลให้คนที่ได้รับสินค้าเหล่านั้นเข้าไปอาจจะเกิดผลเสียในร่างกายตามมาก็เป็นได้จึงทำให้รัฐมีการควบคุมการผลิตสินค้าต่างๆไม่ว่าจะเป็นทางด้านเบียร์ทางด้านเล่าการต่างๆก็จะมีการควบคุมเพราะก่อนหน้านี้ภูมิปัญญาชาวบ้าน

มีการทำสาโทหรือแม้แต่เหล้าหมักทานเองในบ้านหรือตามหมู่บ้านตัวเองน้ำออกมาทานตอนที่หมู่บ้านของตัวเองมีการจัดงานเฉลิมฉลองหรือเป็นงานเลี้ยงต่างๆก็จะนำของเหล่านี้นำมาเลี้ยงแขกที่มาร่วมในงานลดค่าใช้จ่ายต่างๆเพราะว่าในการทำแอลกอฮอล์ต่างๆมีการใช้งบประมาณหรือเงินลงทุนที่ต่ำเป็นอย่างมาก

แต่ว่าสิ่งที่ต้องใช้คืนระยะเวลาในการหมกหรือหมัก ในการที่จะเปิดโรงหมักเบียร์ได้นั้นมีอุปสรรคอย่างมากว่าจะแลกได้ก็คือต้องมีเงินทุนในการจดทะเบียนอย่างน้อยที่สุดในโลกคือ 10 ล้านบาทเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากๆสำหรับนักลงทุนขนาดเล็กไม่สามารถมีการต่อสู้ในตลาดได้อย่างแน่นอน

และอีกหนึ่งอย่างที่เป็นปัญหานั้นก็คือการที่ต้องผลิตเบียร์อย่างน้อยที่สุดคือ 10 ล้านลิตรต่อ 1 ปีซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากหากมีการผลิตออกมาแล้วไม่สามารถขายได้นั้นจึงทำให้คนที่ลงทุนต่างๆไม่กล้าเสี่ยงที่จะลงทุนนี่คือการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตรายใหญ่อย่างแน่นอน

เพราะว่าการครองตลาดอย่างต่อเนื่องของาสามสี่เจ้าที่มีการขายไม่อยากต่อเนื่องมากกว่า 10 ปีแล้วในประเทศไทยยังไม่มีใครสามารถขึ้นมาเพื่อชิงตำแหน่งหรือแยกส่วนแบ่งทางการตลาดนี้ได้การที่ผลิตเหล้าออกมาหรือเมล์มาเป็นจำนวน 10 ล้านลิตรต่อ 1 ปี

ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะสามารถขายได้เพราะว่าใน 1 ปีต้องทำเหล้าขนาดนั้นออกมาแต่ยังไม่มีการทดลองตลาดว่ามีรสชาติไหนที่สามารถให้คนอ่านได้นี่จึงเป็นความท้าทายเป็นอย่างมากของนักลงทุนและในปัจจุบันมีการคาดหวังไว้ว่าจะมีผู้ที่เข้ามาช่วงชิงตำแหน่งส่วนแบ่งทางการตลาดในปัจจุบันมีคน Craft Beer เยอะมาก

แต่ว่าไม่มีการทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจังไม่มีการต่อสู้ทางด้านการตลาดอาจจะทำให้เราเห็นผู้ค้ารายใหม่ๆเกิดขึ้นก็เป็นได้

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  ufabet บาคาร่าออนไลน์

ปัญหาธุรกิจการส่งออกหยุดชะงัก

 ตอนนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็กำลังประสบปัญหาเหมือนกันหมดนั่นก็คือการพยายามที่จะแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งนับวันไวรัสชนิดนี้ยิ่งนับว่ามีความรุนแรงมากขึ้นทุกปีผู้คนต่างเชื้อไวรัสนี้กันเป็นจำนวนมากรวมถึงมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มากขึ้นเรื่อยๆสำหรับประเทศไทยเองถือว่ายังนี่เข้าขั้นวิกฤตมากนัก

หากต้องเทียบกับต่างประเทศเช่นอิตาลีหรือแม้แต่อเมริกาเองก็ตามและถึงแม้ประเทศไทยจะยังไม่ต้องถึงขนาดปิดประเทศห้ามคนคนเข้าประเทศนั้นในปัจจุบันนี้การที่ในประเทศไทยยังมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ก็สร้างผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งปัจจุบันธุรกิจการส่งออกของประเทศไทยลดลงอย่างเห็นได้ชัดการส่งออกบางรายการถูกรัฐบาลประกาศถ้าให้ส่งสินค้าออกไปอย่างเช่นเจลล้างมืออุปกรณ์ทางการแพทย์หรือแม้แต่หน้ากากอนามัยเพราะจำเป็นจะต้องนำมาใช้ให้กับคนภายในประเทศไทย

ซึ่งขณะนี้ยังขาดแคลนอุปกรณ์การใช้งานเหล่านี้อยู่มากแต่อย่างไรก็ตามถึงแม้สินค้าบางรายการรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ออกกฎห้ามเรื่องของการส่งออกแต่ต่างประเทศก็หยุดชะงักในเรื่องของการรับซื้อสินค้าเนื่องจากทุกประเทศกำลังประสบปัญหาเหมือนกันหมดนั่นคือต่างก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19กัน

อยู่ส่วนใหญ่ประเทศต่างๆพยายามที่จะงดการนำสินค้าออกรวมถึงการรับสินค้าเข้าประเทศเพื่อต้องการที่จะลดความเสี่ยงในการที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด-19เป็นมากขึ้นดังนั้นตอนนี้ธุรกิจการส่งออกจึงถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่หยุดชะงักพอๆกับธุรกิจการท่องเที่ยวเลยทีเดียว

     หลายคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของการส่งออกปัจจุบันต้องปิดกิจการลงไปเพราะว่าไม่สามารถส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้บางคนถึงขนาดล้มละลายเพราะมีการลงทุนไปมากแต่สินค้ากับส่งออกไปไม่ได้และเมื่อปล่อยไว้เป็นเวลานานสินค้าบางรายการก็อาจจะเสียหายทำให้เงินที่ลงทุนไปขาดทุนจนเจ้าของธุรกิจ

บางรายถึงขนาดจำเป็นต้องฆ่าตัวตายเพราะหนี้สินรุงรังมากมายจากการที่ลงทุนไปแล้วไม่สามารถนำสินค้าออกไปขายได้จะเห็นได้ว่าปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมีผลกระทบกับทุกภาคส่วนไม่ใช่กระทบแค่เฉพาะวงการแพทย์เท่านั้นแต่ยังกระทบไปถึงการท่องเที่ยวรวมถึงการส่งออกและปัจจุบันยังกระทบเกี่ยวกับเรื่องของการเดินทาง

เพราะพบว่ามีการแพร่ระบาดและมีผู้ติดเชื้ออย่างมากในช่วงที่มีการเดินทางจากกรุงเทพฯไปต่างจังหวัดอย่างเช่นการนั่งรถตู้ไปซึ่งเป็นการแพร่ระบาดได้เนื่องจากนั่งรวมกันอัดอยู่ในพื้นที่แคบซึ่งถ้าหากว่าเราไม่รีบแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ให้หมดไปจากประเทศแล้วก็เศรษฐกิจของประเทศไทยจะยิ่งแย่ลงมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แน่นอน 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ทดลองเล่น gclub

มาทำความรู้จักกับความมั่งคั่ง

ความมั่งคั่งคืออะไร หลายคนตั้งคำถามกับความหมายนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความมั่งคั่งคือ มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิหรือความมั่งคั่งสุทธิ ของบุคคล ซึ่งก็คือ สินทรัพย์รวม ลบ ด้วยหนี้สินรวม นั่นเอง ซึ่งความมั่งคั่งส่วนใหญ่ก็มาจากการออม การลงทุน หรือมรดก

ซึ่งหากคนที่รู้จักการบริหารความมั่งคั่งคือ เค้าจะไม่นำความมั่งคั่งออกไปใช้จ่ายในการดำรงชีพ ยกเว้นเมื่อรายได้ประจำหยุดไปแล้ว แล้วเราควรมีอะไรอยู่ในความมั่งคั่งบ้างถึงจะดี

  1. สินทรัพย์สภาพคล่อง ได้แก่เงินสด เงินฝากระยะสั้น กองทุน เพื่อสำรองใช้จ่ายวันต่อวันและสำรองในกรณีฉุกเฉินอย่างน้อยหกเดือน เพราะถ้าหากสำรองมากกว่านี้ อาจจะทำให้เสียโอกาสในความมั่งคั่งกลุ่มที่สอง
  2. สินทรัพย์เพื่อการลงทุน เพื่อสร้างรายได้ หรือสร้างมูลค่า เช่นเงินฝากระยะยาว อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ซึ่งกฎของมันคือ ความมั่งคั่งจะเติบโตได้ดี ถ้าเรามีสัดส่วนของสินทรัพย์เพื่อการลงทุน มากกว่า 50% ของความมั่งคั่งทั้งหมด
  3. สินทรัพย์ส่วนตัว เช่นที่อยู่อาศัย รถยนต์ หรือของใช้อื่นๆ หากเสียเงินซื้อกับสินทรัพย์ประเภทนี้เกินไปก็จะทำให้เสียโอกาสในการลงทุน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้น ข้อสามนี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จการเงินบางท่าน ไม่นำมาเป็นสินทรัพย์ด้วยซ้ำ แต่บางท่านอาจจะมองว่า ถ้าได้มีการคัดกรองก่อนซื้อด้วยการประมาณราคาและโอกาสขายต่อในอนาคต แล้วมันสามารถเพิ่มความมั่งคั่งได้ก็อาจจะเป็นข้อยกเว้น เช่น บ้านพักอาศัย ของสะสม เครื่องประดับ แต่ในทางตรงกันข้ามควรหลีกเลี่ยงสินทรัพย์ราคาสูงด้อยค่าเร็วหรือซื้อแล้วมีค่าใช้จ่ายแฝงสูงตามมา เช่น รถยนต์

แล้วเคยคิดไหมว่า ทำไมการสร้างความมั่งคั่งจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน เพราะความมั่งคั่งนั้นสามารถแปลงเป็นปัจจัยที่สนองความต้องการทุกระดับของมนุษย์ เช่น ความต้องการในด้านปัจจัยสี่ ความปลอดภัย ความรักการเป็นเจ้าของ ความภาคภูมิใจ และความสมบูรณ์แบบของชีวิต

และยังมีปัจจัยอื่นที่เร่งความสำคัญของการสร้างความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และปัจจัยเชิงบวก โดยถ้าหากจะมองว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองมั่งคั่งนั้น เราควรจะต้อง

บริหารความมั่งคั่ง ด้วยการวางแผนทางการเงินแบ่งเป็นหลายแผนครอบคลุมทุกความต้องการทางการเงิน โดยกำหนดเป้าหมายและแผนปฏิบัติเพื่อให้ทั้งหมดเป็นจริง เพราะการบริหารความมั่งคั่งด้วยการมีแผนทางการเงิน จะทำให้เราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและความต้องการที่เราอยากมีอยากได้ ให้อยู่ในกรอบที่มันควรจะเป็น และเป็นสิ่งที่คอยเตือนเราอยู่เสมอเมื่อครั้งใดก็ตามที่เรากำลังจะหลุดจากแผนที่เราได้กำหนดไว้

 

ขอขอบคุณ  sa gaming vip ทดลอง เล่น  ที่ให้การสนับสนุน

คนตายจากพิษเศรษฐกิจ

คงต้องยอมรับกันแล้วว่าความรุนแรงของการแพร่ระบาดไข้ไวรัสโควิด19 นั้น มีอานุภาพทำลายอย่างร้ายแรง จนทำให้แต่ละประเทศสะบักสะบอมกันไปหมด ซึ่งปัญหาใหญ่ที่จะตามมาของคนทั่วโลกคือ เศรษฐกิจโลกกำลังจะพัง เพราะผู้คนต่างล้มป่วย

และหยุดการทำงานในหลายๆ ภาคส่วน มีการหยุดและยุติการส่งออกระหว่างประเทศ และการค้าในแต่ละประเทศเองก็ซบเซาด้วยปัญหาคนออกจากบ้านไม่ได้ ซึ่งในส่วนของประเทศไทย จากที่แบงค์ชาติเคยประเมินไว้ตอนสิ้นปีว่า เศรษฐกิจไทยจะโตขึ้น สองจุดแปดเปอร์เซ็นต์

แต่ตอนนี้จะกลายเป็นติดลบห้าจุดสามเปอร์เซ็นต์แทน ซึ่งเป็นอัตราติดลบทางด้านเศรษฐกิจที่หนักที่สุดในรอบยี่สิบสองปี นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2541 ซึ่งผลจากการระบาดของไวรัสตัวนี้ทางแบงค์ชาติเชื้อว่ามันจะถูกควบคุมได้ในเดือนเมษายน

แต่การฟื้นตัวนักท่องเที่ยวยังคงต้องใช้เวลา และการส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัด หากมีการควบคุมการแพร่ระบาดและหาวัคซีนที่รักษาได้ ก็ต้องดูอีกว่านโยบายของประเทศไทยจะสามารถทำได้เพียงใด

การหดตัวของจีดีพี น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะผลจากภาคส่งออกสินค้า ซึ่งรวมกับการท่องเที่ยว ดูแนวโน้มจะมีสถานการณ์ที่รุนแรงในช่วงไตรมาส2  ยิ่งถ้าดูจากนโยบายหรือมาตรการที่ภาครัฐทำไว้นั้น เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าการระบาดของไข้ไวรัสโควิด19 นี้

ในอนาคตข้างหน้าน่าจะยังคงมีความทวีรุนแรงอีกขึ้นเรื่อยๆ และกว่าจะควบคุมได้คงต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน ซึ่งก็จะข้าสู่ต้นไตรมาสสามกันแล้ว และกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวคงต้องใช้เวลาอีกหนึ่งไตรมาส รวมกันก็ต้องดูคู่ค้าของเราอีกต่อว่า เค้าแข็งแรงและพร้อมเร็วแค่ไหน

ดังนั้นมันเหมือนห่วงโซ่  ที่กระทบกันเป็นลูกโซ่ ไปยังภาคธุรกิจและรายได้ครัวเรือนของประชาชนจนกลายเป็นวงกว้าง การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนก็หดตัวลงไป ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคนที่เป็นหนี้แบงค์ไม่มีจ่ายหนี้ แบงค์เองก็จะมีหนี้เสียเพิ่มมากขึ้น และเมื่อแบงก์เองมีหนี้เสีย

ก็จะไม่ปล่อยเงินกู้ต่อลมหายใจให้กับลูกหนี้อีก ถึงตอนนั้นธุรกิจแต่ละที่ก็จะลดเงินเดือน และจำนวนพนักงาน เพราะสายป่านไม่พอ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะมีกลุ่มคนที่ตกงาน และไม่มีรายได้ นั่นคือสาเหตุที่หากบางคนไม่มีทางออกก็อาจจะเลือกวิธีตัดช่องน้อยแต่พอตัว ซึ่งก็จะทำให้มีคนตายจากพิษเศรษฐกิจ มากกว่าไข้ไวรัสโควิด 19

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เซ๊กซี่บาคาร่าเกมส์66

ทำงานที่บ้านอย่างไรไม่ให้เสียสติ

จากสถานการณ์ปัจจุบันที่บริษัทแต่ละแห่งต้องมีการอนุมัติให้พนักงานทั่วไปนั่งทำงานอยู่ที่บ้านนั้น เนื่องจากปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดของไข้ไวรัสโควิด19 จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทุกคนที่มีอาชีพเป็นลูกจ้างประจำหรือพนักงานอิสระต้องมานั่งทำงานที่บ้านแทน

ซึ่งจากเดิมนั้นอาจจะไม่ต้องทำงานที่บ้านก็ได้ อาจจะเป็นร้านการแฟเก๋ก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เพราะทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดนี้ แต่คราวนี้พอกลับมาที่บ้าน ที่ที่ไม่ใช่ออฟฟิศ อาจให้หลายคนทำงานได้ไม่เต็มที่ อาจจะด้วยเรื่องของอุปกรณ์การทำงาน

หรือสภาพแวดล้อมที่ต้องปรับตัวกันพอสมควร แต่ก็คงไม่หนักเท่ากับคุณแม่ที่ต้องเตรียมรับมือทำงานที่บ้านพร้อมกับเลี้ยงลูกไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งมันอาจจะดูเป็นความท้าทายของหลายๆคน  แต่ถ้าลูกอยู่ในวัยที่กำลังซนและยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องอาจจะทำให้ความท้าทายกลายเป็นความเหนื่อยแทน

และยิ่งถ้าลูกของคุณนั้นยังไม่โตพอหรือเข้าใจกับสถานการณ์การกักตัวและป้องกันจากการแพร่ระบาดเรื่องโควิดนี้แล้วหล่ะก้อ ทางสภาเศรษฐกิจโลก ก็มีคำแนะนำสำหรับมนุษย์ที่ต้องทั้งเลี้ยงลูก และทำงานไปด้วยอยู่ที่บ้าน เพื่อให้เกิดความสมดุลและเสียสติไปก่อน

  1. พูดคุยเรื่องคุณค่าและค่านิยมกับลูก ซึ่งช่วงเวลานี้ เป็นเวลาที่ดีที่จะได้นั่งคุยและอธิบายกับลูกว่าเพราะอะไรเราถึงต้องเว้นระยะห่างทางสังคม หรือวิธีการทำงานที่บ้าน และคุณสามารถใช้เวลานี้ในการเปิดใจ คุยกับสมาชิกครอบครัวที่ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงและความเปลี่ยนแปลงในลูกหลาน
  2. สร้างความเข้าใจให้ตรงกัน โดยเราต้องตัดสินใจปรับเปลี่ยน ให้เข้าใจกับสถานการณ์ พึ่งพาความคิดของเราเอง และอธิบายเค้าว่า เราไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้มาก่อน อาจทำให้เราเข้าใจกันผิดและคลาดเคลื่อน
  3. ปล่อยผ่านความไม่สมบูรณ์แบบ เพราะถ้าคุณเป็นคนมีมาตรฐานการทำงานที่สูง แม้ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน ให้คิดว่านี่เป็นการฝึกความผ่อนคลาย ลูกอาจจะทำให้บ้านรก เวลาที่คุณคุยโทรศัพท์เรื่องงาน ยอมปล่อยผ่านความสมบูรณ์แบบที่น้อยลงจากชีวิตไปบ้าง
  4. พยายามรักษาความเชื่อมโยงกับสังคม ซึ่งคำว่าระยะห่างทางสังคม ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องตัดทุกอย่างจากโลกภายนอก คุณยังคงต้องหาทางรักษาความเชื่อมโยงกับเครื่องมือ ที่ทำให้คุณมีเวลาที่จะมีความรู้สึกว่าไม่โดดเดี่ยวบนโลกใบนี้
  5. สร้างสรรค์และตอกย้ำ แน่นอนว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างแท้จริง แต่หากใช้เวลาและโอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ และอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวมากขึ้น มันจะทำให้มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    สมัคร gclub ไม่มีขั้นต่ำ

บัตรทองรักษาฟรี โควิด19

บัตรทองรักษาฟรี โควิด19 ทั้งโรงพยาบาลรัฐบาลและโรงพยาบาลเอกชน

หลังจากที่เป็นเรื่องถกเถียงกันอย่างมายาวนาน ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของไข้ไวรัสโควิด19 ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา จนเวลานี้คือกลางเดือนเมษายน ซึ่งใช้เวลาเกือบสามถึงสี่เดือน ในการสรุปว่าประชาชนที่มีบัตรประกันสังคมสามารถรักษาไข้ไวรัสโควิด19 ได้หรือไม่

ซึ่งล่าสุดก็มีความชัดเจนกันไปแล้วว่าสามารถรักษาได้ฟรี สำหรับผู้ถือบัตรประกันสังคม ส่วนบัตรทองก็เพิ่งได้ข้อสรุปในวันนี้ ที่ประชาชนผู้ที่ถือบัตรทองสามารถรักษาได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐบาลและโรงพยาบาลเอกชน เพราะหลังจากที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาตลอดว่า ทำไม่ประชาชนถึงไม่สามารถหาหมอหรือรักษาอาการไข้เหล่านี้ได้

โดยการที่รัฐบาลไทยออกมาคุ้มครองเหมือนประเทศอื่นๆ เพราะเมื่อช่วงแรกที่ไข้ไวรัสนี้ระบาดเข้ามาในไทยนั้น มีพวกผู้ป่วยที่ได้รับการติดเชื้อได้ไปหาหมอเพื่อเพื่อรักษาโรคนี้ แต่ปรากฏว่า บางโรงพยาบาลก็รับเข้าการรักษา แต่ค่าใช้จ่ายก็เป็นหลักแสน บางโรงพยาบาลก็ไม่ยอมรับการรักษา

เพราะกลัวจะกลายเป็นประเด็นที่มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิดอยู่ที่โรงพยาบาล จะทำให้ไม่มีคนไข้ที่ไม่สบายเป็นอาการอื่นๆ  ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ ที่รัฐบาลไทยไม่แก้ปัญหาเรื่องนี้ จนทางบริษัทประกันชีวิตต่างๆ ได้ใช้ช่องทางนี้ในการจูงใจให้คนทำประกันเพื่อรักษาโรคโควิด

แต่ใครจะกันได้ทุกคน เพราะตาสี ตาสา คนใช้แรงงาน หาเช้ากินค่ำ ลำพังจะกินในแต่ละวัน พวกเค้าเหล่านี้ก็เหนื่อยแทบใจจะขาด และยิ่งรัฐบาลมีมาตรการออกมาให้มีการปิดกิจการชั่วคราวบางประเภท ซึ่งส่งผลต่อพนักงานและลูกจ้างรายวัน เป็นอย่างมาก เพราะกิจการต่างๆ

หรือห้างร้านที่ต้องปิดเป็นการชั่วคราวด้วยตามาตรการของรัฐบาลนั้นทำให้พวกเค้ากลายเป็นคนตกงานในชั่วค่ำคืน นั่นคือสาเหตุที่พวกเค้าจะเอาเงินที่ไหนไปรักษาตัวหากเค้าต้องติดไวรัส และกลายเป็นผู้ป่วยโควิด19 ขึ้นมา จนล่าสุด สุดท้ายด้วยการทำงานแบบเต่าล้านปีไดโนเสาร์ที่รอกันมาเกือบสามเดือน

จึงจะมีนโยบายออกมาว่า คนไทยสามารถใช้บัตรทองและบัตรประกันสังคมรักษาอาการป่วยโควิด19 ได้ตามจริง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่สามารถช่วยให้คนที่ถือบัตรทอง ได้มีหลักประกันในการหาหมอ เพื่อรักษาตัวเอง เพราะแค่จะรอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดไข้ไวรัสนั้น

คงจะทำได้แค่เก่งแต่ปากที่บอกว่าเอาอยู่ หรือมาตรการเยียวยาต่างๆ ที่มีแต่คำพูดแต่ไม่มีจริงในโลกแห่งความจริง อยากรู้ว่า ทำไมการอนุมัติซื้ออาวุธเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่เห็นต้องรอนานเหมือนการรอบัตรทองรักษาโควิด19 เลย

 

ขอบคุณ  ufabet  ผู้ให้การสนับสนุน

ความกลัวของการเปลี่ยนงาน

มนุษย์บนโลกใบนี้ มักมีความกลัวซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจและจิตใต้สำนึก เมื่อครั้นที่ต้องมีเรื่องที่ทำให้เราต้องตัดสินใจเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เคยทำอยู่เดิมๆ มาเป็นระยะเวลานั้น แล้วต้องเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่เราเคยทำอยู่ คนเราทุกคนมักจะเริ่มมีความกลัวทางด้านจิตใต้สำนึกเข้ามาเกี่ยวข้อง

เช่นเรื่องของการเปลี่ยนงาน ซึ่งคนเรามักจะหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนความกลัวนั้น โดยเหตุผลสองประการหลักๆ คือ หนึ่งกลัวความล้มเหลว และสอง เสียดายความรู้ที่เรียนมา ความกลัวหลักๆที่ทำให้หลายคนไม่กล้าเปลี่ยนงาน คือ การมีภาระทางด้านครอบครัว ซึ่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและการดูแลคนอื่นๆในบ้าน

ซึ่งถ้าหากเปลี่ยนงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะมีผลกระทบทำให้ครอบครัวเดือดร้อน นั่นจึงเป็นความกลัวที่ทำให้หลายๆ คนไม่กล้าเสี่ยงที่จะเปลี่ยนงาน นั่นจึงเป็นคำตอบที่สุดท้ายมักจะจบลงด้วยการทำงานอยู่ที่เดิม ซึ่งหลายคนที่ตัดสินใจเช่นนี้ มักจะหาเหตุผลมารับรองตัวเอง

เมื่อถูกตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่เปลี่ยนงาน เช่น “ทำงานที่ไหนก็เหมือนกัน” ซึ่งคำตอบนี้ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก เพราะมันคือสัญชาตญาณหาความปลอดภัยที่อยู่ในตัวของทุกคน เพราะการรอบคอบไว้ก่อนเป็นเรื่องธรรมชาติ เพียงแต่เราต้องระวังอย่าปล่อยให้ความรอบคอบกลายเป็นความกลัวที่จะล้มเหลวมากเกินไป จนขยับตัวไม่ได้ 

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คนที่ไม่กล้าเปลี่ยนงาน ต้องหันมาทำความเข้าใจของคำว่า “ล้มเหลว” กันใหม่ เพราะงานทุกงานนั้น มีความเสี่ยงกันทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งไหน เป็นเจ้าของธุรกิจหรือเป็นลูกจ้าง

ดังนั้น คุณต้องมีการประเมินความเสี่ยงเป็นระยะๆ ต่อให้ธุรกิจเติบโตหรือตำแหน่งงานของคุณไปได้อย่างดีเยี่ยม วันหนึ่งตื่นเช้ามาก็อาจพบว่าฟ้าถล่มก็เป็นไปได้ เหมือนที่เศรษฐกิจไทยทุกวันนี้เป็นกันอยู่ ในชั่วข้ามคืน สิ่งที่มั่นคงที่สุดอาจกลายเป็นความไม่มั่นคงได้

ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยความกลัวมาครอบงำจนทำให้เกิดความล้มเหลว เพราะมันคือเรื่องธรรมดา แต่ถ้าวางแผนดี รอบคอบ ก็จะช่วยให้เราลดความเสี่ยงลง “ความล้มเหลว” ไม่ได้หมายถึงรายได้น้อยลง เพราะหากคุณมีความสุขกับการทำงาน ก็คือความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว

สำหรับคนที่คิดเปลี่ยนสายอาชีพแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เทคนิคหนึ่งที่ทำได้คือ ค่อยๆ เปลี่ยน เช่นวันหนึ่งหากคุณมีงานประจำ

แต่อยากเปลี่ยนตัวเองมาเป็นนักเขียนมืออาชีพ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโดยทันที ใช้วิธีจับปลาสองมือไปก่อน แค่จัดสรรเวลาให้ดี ไม่ให้มีผลกระทบกับงานประจำ แล้วดูว่างานที่คุณเปลี่ยนเหมาะกับคุณมั้ย ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่คิดจะเปลี่ยนงานเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เซ็กซี่เกม บาคาร่า

อนาคตเราอาจไม่เหลือ สายการบินของไทย

ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน อดีตเคยยิ่งใหญ่ ปัจจุบันอาจจะเป็นแค่ฟันเฟืองตัวเล็กๆ ในธุรกิจระดับประเทศหรือระดับโลกก็เป็นไปได้ ยิ่งด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่ไม่มีความแน่นอนบนโลกปัจจุบัน ประกอบกับปัจจัยหลายๆ อย่างทั้งในประเทศและนอกประเทศ

รวมไปถึงปัจจัยที่ไม่อาจสามารถควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติและหรือโรคติดต่อ หากผู้บริหารของแต่ละองค์กร ไม่มีวิสัยทัศน์ที่ชาญฉลาดและมองขาด อ่านเกมล่วงหน้าและคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการบริหารการจัดการที่ให้อยู่ในระเบียบแบบแผน และรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันคาดคิดได้

ธุรกิจนั้นคงพัง เฉกเช่นเดียวกับธุรกิจสายการบิน สายการบินที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสายการบินของคนไทย สายการบินแห่ง นั่นคือสายการบินไทย ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้ไม่เจอภัยหรือสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้ สายการบินไทยนี่ ก็อ่วมอรทัยเกือบทุกปี

ด้วยการบริหารที่เอื้อผลประโยชน์ต่อองค์กรและพนักงานรวมถึงบุคคลกร แต่ไม่คำนึงถึงการบริหารธุรกิจซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ จึงทำให้มีผลการประกอบการที่ขาดทุนอยู่เกือบทุกปี และมาปีนี้ ปีที่เรียกว่าอาจจะเผาเศรษฐกิจไทยจริงๆ หลังจากที่หลายๆคน บอกว่าจะเผา จะเผา แต่ก็กลายเป็นเผาหลอกทุกครั้งไป

แต่สำหรับปีนี้คงไม่ใช่ ด้วยสภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์ไข้โควิดที่กำลังระบาดจนอยู่ทุกวันนี้ น่าจะเป็นตัวแปรปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบินไทย ถึงเวลาต้องปิดตัวลง เพราะไม่อาจทนแรงต้านทานที่จะแบกรับต้นทุนที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้อีก ด้วยรายได้หลักที่มาจากการบินในภูมิภาคเอเชีย ที่ทุกวันนี้ต้องยกเลิกทุกเที่ยวบิน และจอดเครื่องบินที่วิ่งเส้นทางนี้ไว้เฉย

เปรียบเสมือนคลังโชว์เครื่องบิน ส่วนจะหวังพึ่งรายได้อีกทางที่ทุกปีพอจะช่วยโอบอุ้มให้มีผลประกอบการที่ดีขึ้นได้ อย่างการบินข้ามทวีป ก็ไม่สามารถจะหวังพึ่งพาอะไรได้อีก เพราะแต่ละประเทศที่ทางการบินไทย เคยได้ทำการบินไว้นั้น ตอนนี้ทุกประเทศปลายทางยกเลิกการเดินทางเข้าประเทศทุกเที่ยวบิน

ครั้นกับรายได้ที่ทางการบินไทยไม่เคยสนใจในเรื่องของการให้บริการการบินในประเทศนั้น ก็คงไม่ได้ช่วยอะไรแม้กระทั่งเงินที่จะเอามาจ่ายพนักงานทุกหน่วยงานและทุกภาคส่วนในองค์กร ของแต่ละเดือน เพราะแค่เที่ยวบิน กรุงเทพฯ ไป เชียงใหม่ จังหวัดที่ขายดิบขายดีและมีคนเดินทางบ่อย

ตอนนี้เรียกได้ว่านับหัวผู้โดยสารที่นั่งอยู่บนเครื่องบินได้อย่างสบาย เพราะเอาจริงที่ว่าค่าน้ำมันบินไปกลับนั้น เมื่อเอามาเทียบกับจำนวนที่ผู้โดยสารใช้บริการนั้น ยังไม่คุ้มเลย สู้จอดนิ่งสนิทเฉยๆ จะดีกว่า ไม่รู้ว่ารุ่นหลาน ยังจะรู้จักสายการบินนี้อีกมั้ย

 

ขอขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  sagame

ธนาคารกสิกรไทย

ธนาคารกสิกรไทย โชว์แผนฝ่าวิกฤติ

ธนาคารกสิกรไทย หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีนโยบาย ให้ธนาคารแต่ละทั่วประเทศออกแคมเปญช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคาร เพื่อลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด19 ให้มีการบรรเทาลูกหนี้และหาทางช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งล่าสุดทาง ธนาคารกสิกรไทย โชว์ฝ่าวิกฤติ มีการออกมาขับเคลื่อนและเตรียมผลรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว

ซึ่งประธานกรรมการธนาคารกสิกรไทย ได้เปิดเผยว่า ช่วงนี้สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นอยู่ในขั้นที่เรียกว่าอ่อนแอ โดยทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยเองนั้นได้มีการคาดการณ์แล้วว่าปัญหาคุณภาพสินเชื่อจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับธุรกิจธนาคาร

โดยจะต้องมีการติดตามสถานการณ์ความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคล ตลอดจนสินเชื่อของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งที่พึ่งพิงตลาดและกำลังซื้อในประเทศและที่พึ่งพาตลาดส่งออก

รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งอย่างไรก็ตามมาตรการต่างๆของธนาคารกสิกรไทย ที่มีนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐ จะมีส่วนสำคัญในการลดทอนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไข้ไวรัส ต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการผ่อนคลายเกณฑ์การปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย จะช่วยภาระการกันสำรองของสถาบันการเงิน

ซึ่งทางกสิกรไทยได้มองว่า ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยที่แท้จริงในปีนี้หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้ไวรัสโควิด19 ได้หมดไปนั้น การใช้จ่ายของภาครัฐจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยประคองเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือ การแพร่ระบาดที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว การส่งออก การบริโภค และการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

ซึ่งทิศทางต่อจากนี้ของธนาคารกสิกรไทย ที่จะดำเนินการขั้นต่อไป คือจะมีการเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารในหลายๆ ทาง พร้อมมาตรการการสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐ

ที่จะมีส่วนสำคัญในการลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศและในอนาคตข้างหน้า และธนาคารกสิการไทยจะยังคงรับบทบาทในการเป็นสถานบันการเงินชั้นนำ ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในการพลิกฟื้นระบบเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้

และพร้อมเสมอที่จะรับมือกับความท้าทายรูปแบบใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ซึ่งจะมีการส่งมอบบริการทางการเงินไปถึงลูกค้าหลายรายรวมถึงหลายเล็กๆ ให้ได้ทั่วถึงมากที่สุด โดยจะคงระมัดระวัง ในการบริหารความเสี่ยงที่ดี ซึ่งเป็นโจทย์ที่ควรเร่งทำเป็นอันดับต้นๆ เพราะจะช่วยให้มีส่วนรวมและช่วยในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ของธนาคารกสิกรไทยเอง

ทั้งในฐานะคนทำธุรกิจและพลเมืองของประเทศ ดังนั้นการจัดการด้านต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจะรวดเร็ว เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับทุกคน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ufabet

วิกฤติที่เกิดขึ้นในประเทศ

วิธีแก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้นในประเทศ

วิกฤติที่เกิดขึ้นในประเทศ ช่วงนี้ประเทศไทยเหมือนมรสุมพายุโหมกระหน่ำ ตั้งแต่ปี 62 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ แถมครึ่งปีหลังยังมาเจอค่ามลพิษ 

pm 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทยอีก ไหนจะเรื่องการเมืองไม่จบไม่สิ้น มีกลุ่มแฟลชม๊อบ ที่จะรอล้มรัฐบาล อีกทั้งหนักสุดปลายปีที่ผ่านมาเจอพิษไข้ไวรัสโควิด19 ระบาดลุกลามมาที่ประเทศไทย เหมือนยิ่งซ้ำหนักเข้าไปเยอะ จนไข้ไวรัสตัวนี้ผ่านมาสามเดือนแล้วยังไม่มีทีท่าว่า รัฐบาลไทยจะสามารถเอาอยู่เหมือนที่คุยไว้ในตอนแรก

จนตอนนี้ทุกอย่างลุกลามไปหมด มีมาตรการจากรัฐบาลช่วยเหลือออกมามากมาย แต่ดูเหมือนจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์สักอย่าง ซึ่งก็มีทางพรรคฝ่ายค้านได้ออกมาชี้นำว่า หากจะทำให้ประเทศผ่านวิกฤติครั้งนี้ ต้องใช้งบมหาศาล เพราะวิกฤติโควิด19 ในครั้งนี้ หนักหนาและสาหัสมาก

โดยที่รัฐบาลจะต้องใช้เม็ดเงินภาษีอากรจากประชาชน เพื่อทำการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และเตรียมการที่จะแก้ปัญหาต่อเนื่องที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญ ซึ่งอย่างน้อยเงินที่จะนำมาแก้ปัญหาคืองบที่ถูกเกลี่ยออกมาแต่ละกระทรวง ไม่ใช่ไปกู้ยืมเงินจากต่างประเทศมาแก้ไข

เพราะแต่ประเทศก็ทำกันแบบนี้ หากรัฐบาลชุดนี้ไม่รู้จักปรับตัว ก็ยิ่งแต่จะสร้างภาระให้กับประเทศจากการใช้งบประมาณที่สูงขึ้น ในขณะที่รายได้การเก็บภาษีอากรในปีหน้า เราน่าจะเก็บได้น้อยกว่าเดิมมาก สัญญาอะไรต่างๆที่เกี่ยวกับการซื้ออุปกรณ์กองทัพ ก็ปรับ ลด หรือเลื่อนออกไปก่อน

ซึ่งถ้ารัฐบาลทำได้จริง จะได้งบประมาณมาแก้ไขปัญหาวิกฤตินี้ ให้กับหมอและพยาบาล และสิ่งที่ต้องรีบทำทันทีคือ ต้องรีบสั่งการให้ตัดงบประมาณปี 63 ลงอย่างน้อย 10-15% เพื่อนำเงินก้อนนี้มาเยียวยาประชาชนและธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางต่างๆ ให้ประคองตัวอยู่ได้ และต้องกระจายงบกลางที่อยู่ในมือ เป็นแสนล้าน ไปยังโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคและจัดหาซื้ออุปกรร์การแพทย์ให้เพียงพอ

และการกู้เงินขอให้ทำหลังจากทำข้อหนึ่งและข้อสองครบถ้วนก่อน และการกู้เงินต้องเป็นการกู้เพื่อนำมาใช้ในมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น ซึ่งถ้ารัฐบาลทำได้อย่างที่แนะนำนี้ จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคนดีขึ้น

และมีความหวังที่จะสถานการณ์การป้องกันการแพร่ระบาดคลี่คลายลงไปในทิศทางที่ชัดเจน ตลอดจนแผนการรับมือที่จะฟื้นฟูเศรษกิจหลังจากหมดเรื่องไข้ไวรัสโควิด19 ไป ให้ประชาชนและทุกธุรกิจที่ล้มลงไปกลับลุกขึ้นมายืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่ต้องมานั่งดูรัฐบาลผลาญเงินของประชาชนไปในแต่ละวัน

 

สนับสนุนโดย  ufabet บนมือถือ