คิดใหม่ ทำใหม่ เศษวัตถุดิบเหลือทิ้งสู่การีไซเคิลในธุรกิจแฟชั่น

วัตถุดิบเหลือทิ้งสู่การีไซเคิล ในเวลาเดียวกันธุรกิจแฟชั่นต่างจะต้องพินิจพิเคราะห์แนวทางจัดแจงขยะที่ทำขึ้นก่อนที่จะสินค้ากำลังจะถึงมือลูกค้า (หรือ Pre-Consumer)

จากการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยด้านสิ่งทอของ TED พบว่า กว่าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของผ้าที่เหลือจากการสร้างในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งถูกทิ้งภายหลังจากการตัดเย็บ ในเมืองนิวยอร์กมีการบัญญัติกฎหมาย เพื่อควบคุมขยะจากการสร้างผลิตภัณฑ์แฟชั่นว่าเศษผ้าที่เหลือใช้จากการตัดเย็บถ้าหากมีมาก

ยิ่งกว่าสิบเปอร์เซ็นต์จะต้องมีการนำไปรีไซเคิล การควบคุมนี้ทำให้แบรนด์แฟชั่นจำเป็นที่จะต้องดีไซน์กรรมวิธีการผลิตให้มีคุณภาพมากเพิ่มขึ้น รวมทั้งสร้างกลอุบายสำหรับการรีไซเคิลก่อนจะจัดจำหน่ายสินค้าให้คนซื้อสินค้าทดลองจากแบรนด์ ASOS ที่วางแบบcollectionกระโปรงที่ยอดเยี่ยมตรงที่การสร้างจะไม่มีเศษผ้าเหลือทิ้ง จากการผลิตเลยด้วยวิธีของการตัดเย็บตั้งแต่เริ่มแรก

แม้กระทั่งอย่างแบรนด์ Elvis and Kresse แบรนด์ผลิตภัณฑ์แฟชั่นหรูหราที่มีแนวความคิดในหัวข้อการเป็นผลิตภัณฑ์หรูหราอย่างยั่งยืน

ด้วยการใช้หนังที่เหลือทิ้งจากการทำแบรนด์ Burberry มาสร้างคอลเลคชั่นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กระเป๋าแล้วก็หมอนที่จะช่วยสร้างกำไรให้กับแบรนด์ได้มากกว่าหนึ่งแสนปอนด์ เมื่อเทียบกับทุนของการนำหนังที่เหลือไปกำจัดทิ้ง รวมทั้ง Fabscrap ที่นำขยะจากเศษสิ่งของจำพวกต่าง ๆ

เป็นต้นว่า แผ่นไวนิล หรือเศษผ้า จากดีไซน์เนอร์รวมทั้งผู้สร้างเสื้อผ้ามา รีไซเคิล เพื่อใช้เป็นองค์ประกอบในสินค้าใหม่ หรือขึ้นรูปเป็นแผ่นรองพื้นหรือใช้บุเครื่องเรือน ความรุ่งโรจน์ของเทคโนโลยีแนวทางในการรีไซเคิลที่ยั่งยืนนี้อย่างแท้จริงกำลังถูกปรับปรุงต่อยอดต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสู่ความสำเร็จ

แบบอย่างการเปิดตัวเสื้อJacket ซึ่งสามารถหมุนวนสิ่งของใด ๆ ได้ไม่รู้จักจบสิ้นโดยตัวแรกของโลกจากแบรนด์ Napapijri ที่ชื่อว่าอินฟินิตี้

ด้วยการใช้เส้นใย ไนลอน 6 และก็ Econyl ซึ่งเป็นสิ่งของที่มีองค์ประกอบเชิงเดี่ยว ที่ทำให้ไม่ยุ่งยากต่อการนำไปรีไซเคิลโดยที่อุปกรณ์ไม่สูญเสียคุณลักษณะต่าง ๆ ไปในกระบวนการเลย ก็เลยเป็นสิ่งของซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างไม่หยุดหย่อน

ความยั่งยืนมั่นคงกำลังจะเปลี่ยนเป็นวิถีการบริโภคที่คือเรื่องธรรมดาของผู้ซื้อรวมทั้งเริ่มหันมาตั้งใจสำหรับการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แฟชั่นเยอะขึ้นกว่าเดิม คนซื้อมีความคิดสำหรับเพื่อการเลือกใช้ของแฮนด์เมดมากยิ่งกว่าสินค้าที่สร้างขึ้นจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งมองหาสินค้าที่ผลิตขึ้นด้วยความพยายามตั้งใจรวมทั้งมีมนุษยธรรมต่อสังคมและก็โลกเพิ่มมากขึ้น

สิ่งที่ต้องการในผลิตภัณฑ์แฟชั่นของคนซื้อไม่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและก็กระแสแฟชั่นในอนาคตที่บางครั้งก็คงเป็นความสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่เป็นธุรกิจแฟชั่นจึงควรเตรียมรับมือ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย      ีดฟิำะ

การสังหารชาวผิวขาวของ เจอโรนิโม อาปาเช 

ในปีคริสต์ศักราช 1858 เรื่องร้ายแรงในชีวิตก็เกิดขึ้นกับเจอโรนิโมเมื่อเขากลับจากการคุมกองเกวียนแลกเปลี่ยนสินค้าที่ต่างแดนซึ่งเวลานั้นเผ่าของเขาปักหลับอยู่ในเขตเม็กซิโกแต่พอกลับถึงค่ายก็เห็นกระโจมทุกกระโจมถูกเผาทั้งค่ายเต็มมไปด้วยซากศพของคนในเผา

ชาวผิวขาวของ เจอโรนิโม อาปาเช  ในจำนวนนั้นก็มีร่างของภรรยาและลูกสามคนของเขารมอยู่ด้วยค่ายของเขาถูกทหารสเปนที่ร่วมกับโจนเม็กซิกันบุกเข้าโจมตีและปล้นค่ายไปก่อนหน้าที่พวกเขา

จะกลับมาถึงไม่นานนักเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเปลี่ยนแปลงชชีวิตเจอโรนิโมไปในทันทีนับจากนั้นเขาประกาศที่จะเด็ดชีวิตคนขาวหนึ่งคนแรกกับอินเดียหนึ่งศพที่เขาพบนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งกองกำลังนักรบเผ่าอาปาเชเอกทำสงครามกับคนผิวขาวไปทุกหนแห่ง

โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องสังหารทหารสเปนเม็กซิกันและอเมริกันทุกคนที่เห็นเนื่องจากความเกียจชังทหารที่เข้าทำลายนิคมชาอินเดียทุกหนทุกแห่งเพียงเพื่อต้องการข่มขวัญให้พวกอินเดียยินยอมอพยพย้ายเข้าไปอยู่ในนิคมอินเดียที่พวกเขาจัดหาให้เท่านั้น

นอกจากนี้เจอโรนิโมเคยประกาศว่าเขาจะขอต่อสู้กับทหารทุกคนที่บีบบังคับขับไล่ให้ชาวอินเดียเข้าไปอยู่ในเขตกักกันเพราะชาวอินเดียทุกคนมีอิสระที่จะไปไหนก็ได้ดังนั้นจึงไม่มีใครที่จะมาพรากความอิสระเสรีไปจากชาวอินเดียได้และตราบใดที่คนขาวสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ชาวอินเดียก็สามารถอยู่ที่ไหนก็ได้เช่นการ

การบุกทำลายกองทหารผิวขาวของเจอโรนิโมโคชีดและกองนักรบอาปาเชของเขาสร้างความอกสั่นขวัญเสียให้กับคนขาวอย่างมากไม่ว่ารบที่ไหนก็ไม่เคยมีครั้งใดที่ไม่สร้างความเสียหายให้กับทหารผิวขาวอย่างมหาศาลแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเจอโรนิโมได้ทำตามที่ประกาศเอาไว้อย่างไม่มีวันลืมไม่ว่าเขาจะพบเผ่าชาวอินเดียเผ่าใดล้มตายด้วยฝีมือคนขาวก็ตามเขาจะสืบจนพบผู้ที่ทำลายชีวิตอินเดียเหล่านั้นและตามไปสังหารคนเหล่านั้นจนสิ้นซากไม่เคยเว้น

เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนไม่ว่าคนขาวเหล่านั้นจะเป็นชาวนาพ่อค้าหรือพระก็ตามถ้าหากคนเหล่านั้นสามารถจับอาวุธสังหารชาวอินเดียได้คนพวกนั้นก็ต้องได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกัน    ีดฟิำะ    เป็นชีวิตแลกชีวิตอย่างที่เจอโรนิโมสั่นวาจาไว้ต่อมาโคชีดเสียชีวิตลงในปีคริสต์ศักราช 1874

ระหว่างที่กำลังหลบหนีการไล่ล่าของทหารสหรัฐในการสู้รบครั้งหนึ่งเจอน้องเขยของเจอโรนิโมจึงขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อมาแต่โดยพฤตินัยแล้วเจอโรนิโมก็ยังเป็นคงเป็นผู้นำกลุ่มนักรบอาปาเชของเขาอยู่ดี