การขยายอิทธิพลของอังกฤษในอินเดีย

หลังจากที่อังกฤษได้มีการยกเลิกระบบการปกครองก็คือเจ้าครองนครในหลากหลายพื้นที่อังกฤษเองได้มีการแต่งตั้งข้าหลวงหรือผู้ว่าการของเมืองชายฝั่งที่สำคัญอีกหลากหลายพื้นที่ก้าวสำคัญต่อมาคือการขยายพื้นที่จากเมืองชายฝั่งทางตอนนอกเข้าสู่ตอนในของอินเดีย

การขยายอิทธิพลของอังกฤษในอินเดีย โดยการทำสงครามกันอย่างต่อเนื่องเริ่มต้นกันที่ตะวันตกเฉียงใต้อันได้แก่รัฐไมซอร์ที่รบกัน4ครั้งระหว่างปี1766-1799

ตามมาด้วยสงครามมาลาพาที่มีการทำสงครามกันหลายครั้งและแน่นอนจบลงด้วยชัยชนะของจักรวรรดิบริติชเสมอมา เมื่อกินพื้นที่ได้มากมายมหาศาลบริษัทบริติชอีสอินเดียจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงการตั้งผู้ว่าการเมืองและผู้ว่าการรัฐต่างๆมาเป็นผู้ว่าการแห่งอินเดีย

กล่าวเป็นผู้ว่าการดูแลอินเดียทั้งประเทศเลยนั่นก็คือตำแหน่งของเขาในปี1773สำหรับผู้ว่าการอินเดียคนแรกคือ เฮสติ้งส์ บุคคลซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายร่วมรบในหลายสงครามและในสงครามครั้งหนึ่งเขาเคยถูกจับเป็นตัวประกันที่ฟอตวินเลียมอีกด้วย

สำหรับผู้ว่าการอินเดียคนที่สามถือได้ว่าเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญอีกคนนึงที่ต่อมาได้มีศักดิ์เป็นผู้ที่มีก้าวเข้ามามีอำนาจในปี1798 วิธีการขยายอำนาจของเขานั้นคือการใช้กลไลที่เขาเรียงว่ารัดในอานิดวิธีการของเขานั้นคือการบีบบังคับให้เจ้าครองนครที่ยังมีอยู่ไม่ว่าจะเป็นนาวาปหรือมหาราชาในภูมิภาคต่างๆต้องยุติการเดินกองทัพและต้องส่งมอบกำลังทหารให้กับอังกฤษทั้งหมด

ซึ่งอังกฤษนั้นจะทำหน้าที่บริหารจัดการกองทัพที่เป็นการรวมกันระหว่างทหารอังกฤษและทหารพื้นเมืองอินเดียเข้าด้วยกันรัฐต่างๆ

จะต้องรับมีการจ่ายเงินค่าคุ้มครองค่าเช่ากองทัพให้กับeicหรือบริษัทบริติชอินเดียอีกในต้นศตวรรษที่19มีหลักฐานว่ามหาราชาอินเดียในบางรัฐไม่สามารถที่จะทนได้กับการกดดันของการสถาปนาของอังกฤษจึงมีการรอบติดต่อกับฝรั่งเศส

เพื่อให้มาคานดุลกับอังกฤษบนแผนดินของตัวเอง  ufabet ฝากเงิน ออโต้   ถึงขนาดได้ทำการติดต่อกับจักรวรรดินโปเลียนให้มีการคลื่นกำลังพลกองทัพเรือที่กำลังคุมอยู่ที่อียิปต์เข้ามาช่วยอินเดียแต่ถึงแม้ว่าจะมีกำลังมาบ้างแต่บนชมพูทวีปในเวลานั้นไม่มีใครใหญ่เกินกว่าบริษัทนี้บริติชอินเดีย

นอกจากนี้ในช่วงกลางศตวรรดิที่19มหาอำนาจอื่นๆเองตระหนักถึงความร่ำรวยของจักรวรรดิบริติชจึงได้พยายามที่จะแผ่ขยายอำนาจมาสู่ภูมิภาคที่อังกฤษครอบครองอยู่เช่นรัสเซียเองก็นิ่งเฉยวางแผนการขยายอำนาจลงใต้ผ่านอัฟกานิสถานพยายามที่จะเจาะอินเดียทางตะวันตกเฉียงเหนือถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เพียงแผนการแต่สิ่งนั้นเริ่มทำให้อังกฤษตระหนักแล้วว่าพวกเขาควรขยายอำนาจขึ้นไปทางทิศเหนือป้อมปรามการขยายอำนาจลงมาของจักรวรรดิรัสเซีย

ทำไมประชาชนถึงไม่ยอมรับจักรพรรดิเวียดนาม

ยอมรับจักรพรรดิเวียดนาม หากจะพูดถึงการสิ้นสุดของกษัตริย์เวียดนามแล้วนั้นทุกคนอาจจะคิดว่ามันเป็นการจำกัดแบบ โง ดิญ เดี่ยม และได้ใช้การลงประชามติเพื่อเป็นเครื่องมีในการล้มกษัตริย์

ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนจำนวนมากต่างก็รับรู้และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเท่าไหร่นัก เพราะต่อให้ไม่มีการลงประชามติหรือผู้นำนั้นไม่ได้ ชื่อ โง ดิญ เดี่ยม สถาบันกษัตริย์เวียดนามจะไม่สามารถคงอยู่ได้อีกต่อไปหากย้อนกับไปว่าทำไมกษัตริย์เวียดนามถึงมีแต่คนเกียจมีแต่คนชังคงต้องย้อมกลับไปปี2459 เป็นปีที่สมเด็จจักรพรรดิไครดิญขึ้นครองราชย์

สถาบันกษัตริย์เวียดนามนั้นไม่ว่าจะเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแต่ว่าพวกเขาพยายามที่จะต่อสู้มาโดยตลอดทำให้ผู้คนชาวเวียดนามให้ความเคารพมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ใช่กับจักรพรรดิพระองค์ใหม่องค์นี้ ในตอนที่ขึ้นครองราชย์นั้นจักรพรรดิไครดิญได้บอกว่าพยายามจะสู้กับฝรั่งเศส

เพื่อนำเอาความยยิ่งใหญ่ของชาวเวียดนามกลับมาแต่ว่าการกระทำของเขานั้นสวนทางกลับคำพูดทั้งหมดทั้งสิ้นเขานั้นพยายามที่จะจำกัดชาวเวียดนามที่เห็นต่างและทำตัวเป็นหุ่นเชิดที่ดีของทางการฝรั่งเศสในการปกป้องผืนแผ่นดินเวียดนามซึ่งการยอมทำตัวเป็นหุ่นเชิดที่ดีของพระองค์ทำให้ผู้คนเวียดนามไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ด้วยความชาตินิยมที่ฝั่งแน่นของชาวเวียดนามทำให้พระองค์ไม่เป็นที่นิยมและชาตินิยมจำนวนมากได้กล่าวโจมตีจักรพรรดิตลอดเวลาแต่แล้วฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลง

เมื่อจักรพรรดิไครดิญได้เก็บภาษีของชาวบ้านเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปสร้างสุสานของพระองค์อันใหญ่โตหรูหราซึ่งร่างกฎหมายเก็บภาษีนี้ยินยอมโดยฝรั่งเศสและนั่นก็ทำให้การเก็บภาษีนี้มีความชอบธรรมขุดนางขูดรีดเงินของชาวบบ้านเพื่อมาสร้างสุสานให้แก่จักรพรรดิแม้ว่าชะตาของชาวบ้านนั้นจะไม่ค่อยมีเงินใช้อยู่แล้วพวดเขายังต้องถูกขูดรีดจนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ประชาราษฎร์ไม่มีความสุขในการดำเนินชีวิตนักชาตินิยมจำนวนมากได้ออกมาโจมตีพระองค์ว่าเป็นทรราชที่ทำให้ประชาชนลำบากยากแค้น  ufabet เว็บตรง    ในขณะที่พวกตัวเองเสวยสุขอยู่ในพระราชวังความโกรธแค้นเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในหมู่ชาวเวียดนามพวกเขาอยากกำจัดพระจักรพรรดิพระองค์นี้ไปจากราชบัลลังก์

แต่อย่างไรนั้นได้เกิดการหนุนของฝรั่งเศสทำให้บรรดานักชาตินิยมที่เคยขาดการสนับสนุนสาามารถเอาชนะได้นั่นจึงทำให้กระแสการต่อต้านในหมู่ชาวบ้านได้แสดงออกทางสัญลักษณ์ต่างๆขึ้นการแสดงออกทางสัญลักษณ์แห่งความเกียจชังของพระจักรพรรดิไครดิญที่ได้รับการกล่าวถึงมามากที่สุดคงต้องยกให้กับการวาดภาพมังกรในม่านหมอกภาพจิตรกรรมฝาผนังได้สือสารจักรพรรดิไครดิญในภาพนี้เป็นภาพวาดมังกรที่งดงามแต่ผู้วาดกับใช้ตีนวาดภาพนี้ขึ้นมาและแม้ว่าจักรพรรดิจะรู้เรื่องนี้ไม่อาจทำอะไรได้

ประวัติความเป็นมาของวัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย 

        ประวัติความเป็นมาของวัดร่องขุ่น สำหรับในบทความนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของวัดร่องขุ่นซึ่งวัดแห่งนี้เชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี

เพราะเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากอยู่ในตอนนี้  สำหรับวัดร่องขุ่นในขณะนี้นับได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางไปเที่ยวสร้างรายได้ให้กับชาวจังหวัดเชียงรายได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

    อย่างไรก็ตามวัดร่องขุนนั้นเป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมาไม่ยาวนานมากนักเนื่องจากว่าเป็นวัดที่เพิ่งสร้างมาประมาณเพียงแค่ 20 กว่าปีเท่านั้นแต่วัดแห่งนี้นั้นก็สามารถที่จะดึงดูดให้ผู้คนเดินทางไปเยี่ยมชมความสวยงามได้ด้วยประวัติความเป็นมาในการสร้างวัดร่องขุ่นนั้นถูกสร้างขึ้นมาในช่วงประมาณ ปี พ.ศ. 2540   

         สำหรับผู้ที่ลงทุนก่อสร้างออกค่าใช้จ่ายรวมถึงหาสถานที่ในการสร้างวัดร่องขุ่นแห่งนี้ก็คืออาจารย์เฉลิมชัยโฆษิตพิพัฒน์ซึ่งอาจารย์ท่านนี้เป็นคนทั้งก่อสร้างเองและออกแบบวัดเองและมาก่อสร้างวัดแห่งนี้เอาไว้ที่ตำบลป่าอ้อดอนชัยซึ่งตำบลนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 12  กิโลเมตรเพียงเท่านั้น  

        สำหรับแนวความคิดในการก่อสร้างวัดร่องขุ่นขึ้นมานั้นอาจารย์เฉลิมชัยต้องการใช้การสร้างวัดแห่งนี้เป็นงานพุทธศิลป์ซึ่งต้องมีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและตั้งใจที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาโดยวัดแห่งนี้นั้นถือได้ว่าเป็นวัดที่ถวายให้กับแผ่นดินหรือถวายให้กับประเทศไทยนั้นเองเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก

         เนื่องจากว่าอาจารย์เฉลิมชัยนั้นต้องการสร้างถวายวัดร่องขุ่นแห่งนี้ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9

ซึ่งหลังจากที่ก่อสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาแล้วก็ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมากว่าวัดแห่งนี้มีความงดงามโดยชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทยก็รู้จักชื่อเสียงของวัดร่องขุ่นกันเป็นอย่างดีซึ่งชาวต่างชาตินั้นตั้งชื่อวัดร่องขุ่นนี้ว่า White temple 

          สำหรับเหตุผลที่ชาวต่างชาติเรียกว่าวัดร่องขุ่น White Temple หรือแม้แต่คนไทยเองก็เรียกวัดแห่งนี้ว่าวัดขาวนั่นก็เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ประดับตกแต่งอยู่ภายในวัดร่องขุ่นนั้นล้วนเป็นสีขาวทั้งหมดแม้แต่กระจกที่ใช้ประดับประดาให้เกิดความสวยงามสะท้อนกับแสงของพระอาทิตย์หรือแสงไฟนั้นก็ทำมาจากกระจกสีเงิน

          สำหรับแนวความคิดของอาจารย์เฉลิมชัยในการสร้างวัดร่องขุ่นด้วยการสร้างให้เป็นสีขาวทั้งหมดนั้นเพราะอาจารย์เฉลิมชัยมองว่าสีขาวนั้นเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ผุดผ่องและวัดร่องขุ่นก็เป็นตัวแทนทางด้านพระพุทธศาสนาดังนั้นสีขาวจึงเปรียบเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่มีความบริสุทธิ์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโบสถ์วิหารหรือสิ่งก่อสร้างภายในวัดร่องขุ่นจึงถูกนิมิตขึ้นมาให้เหมือนกับสรวงสวรรค์และมีความสวยงามเปล่งประกายให้ผู้คนได้ชมกัน

 

สนับสนุนโดย  สล็อต joker ฝาก-ถอน ไม่มี ขั้นต่ำ

ประวัติของวัดพงษ์สุนันท์ จังหวัดแพร่

ถ้าหากพูดถึงวัดพงษ์สุนันท์เชื่อว่าหลายคนที่ไม่ได้อยู่ในจังหวัดแพร่

        ประวัติของวัดพงษ์สุนันท์ อาจจะไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียงของวัดแห่งนี้กันมากนักแต่แท้ที่จริงแล้ววัดแห่งนี้นั้นนับได้ว่าเป็นวัดที่มีความโดดเด่นมีความสวยงามและเป็นวัดที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่เลยทีเดียวโดยวัดแห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นมาในยุคสมัยโบราณหลายร้อยปีซึ่งแต่เดิมวัดแห่งนี้นั้นไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนปัจจุบันนี้และไม่ได้สวยงามเท่ากับปัจจุบันนี้ด้วยสมัยก่อนนั้นวัดแห่งนี้เป็นวัดร้างและเดิมก็เคยตั้งชื่อว่าวัดปงสนุก

          อย่างไรก็ตามวัดแห่งนี้ได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่เป็นวัดที่มีความสวยงามมีการสร้างวิหารและมีการเปลี่ยนชื่อวัดซึ่งการบูรณะวัดหรือว่าแม้แต่การสร้างวิหารขึ้นมาใหม่จนวัดแห่งนี้มีความสวยงามนั้นถูกดำเนินการในช่วงประมาณปีพ.ศ 2472 นั่นเองจากเดิมที่ใช้ชื่อวัดปงสนุกก็เปลี่ยนมาเป็นวัดพงษ์สุนันท์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 

         สิ่งที่ดึงดูดให้วัดแห่งนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวนอกจากความสวยงามของตัวโบสถ์วิหารอาคารต่างๆที่เขาสร้างภายในวัดแล้วยังมีวิหารแก้วซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์วิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสีขาวสวยงามตานอกจากนี้ด้านบนวิหารนั้นซึ่งเป็นบริเวณหลังคายังมีเจดีย์ทั้งหมด 108 องค์ด้วยกัน

ซึ่งวิหารแห่งนี้นั้นงดงามจับตาเป็นอย่างมากเดินรอบวิหารก็จะมีการสร้างรั้วเอาไว้

ซึ่งจะมีบันไดทางขึ้นเป็นรูปพญานาค 2 ตัวและไม่ว่าจะเป็นตัวบันไดเองหรือแม้แต่กำแพงที่ล้อมรอบวิหารแห่งนี้ก็ทาสีขาวหมดโดยวิหารแห่งนี้ถูกเรียกว่าวิหารสีขาววิหารแก้วองค์พระธาตุเจดีย์ 108 ยอด 

         นอกจากนี้ภายในวัดนั้นยังมีการสร้างโบสถ์เอาไว้อย่างสวยงามซึ่งโบสถ์แห่งนี้บอกได้เลยว่าด้านในนั้นมีการออกแบบด้วยศิลปกรรมที่งดงามจับตาเป็นอย่างมากและยังมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยซึ่งมีอายุเก่าแก่โดยประเทศดังกล่าวนั้นชื่อว่าพระเจ้าแสนสุขมีอายุราวๆ 568 ปีเป็นพระพุทธรูปที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมากซึ่งส่วนใหญ่นั้นก็จะเข้ามากราบขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต 

  นอกจากนี้บริเวณหน้าวัดซึ่งเป็นบริเวณตรงประตูทางเข้าวัดเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาหันทางมาด้านซ้ายจะเห็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระนอนขนาดใหญ่  เว็บพนัน ufabet     อยู่ที่บริเวณทางเข้าหน้าวัดและทางวัดได้มีการสร้างกำแพงล้อมรอบวัดเอาไว้ซึ่งกำแพงของวัดนั้นจะมีการสร้างซุ้มประตูมงคลเอาไว้ด้วยโดยมีทั้งหมด 19 ยอดด้วยกัน

       อย่างไรก็ตามวัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่จนเป็นวัดที่มีความสวยงามและเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบันได้ก็เพราะว่าหลวงพิบูลหรือในสมัยก่อนนั้นเรียกว่าเจ้าพรหม  รวมถึงเจ้าสุนันทาซึ่งทั้งสองพระองค์นั้นได้มีการบูรณะซ่อมแซมเอาไว้แล้วคอยดูแลเป็นอย่างดีหลังจากที่มีการซ่อมแซมแล้วจึงเปลี่ยนชื่อวัด โดยนำชื่อต้นของทั้งสองคนมาผสมกันนั่นก็คือพงษ์สุนันท์นั่นเอง 

ประเพณีตักบาตรดอกไม้และล้างเท้าพระ จังหวัดสมุทรสาคร 

         ประเพณีตักบาตรดอกไม้  สำหรับที่จังหวัดสมุทรสาครเมื่อถึงช่วงเทศกาลวันออกพรรษาก็มีการจัดประเพณีอย่างยิ่งใหญ่ประจำจังหวัดเช่นเดียวกันซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยประเพณีนี้จะมีการเชิญบรรดาชาวบ้านประจำจังหวัด

มาร่วมประเพณีเพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีประเพณีที่เกี่ยวพันกับพระพุทธศาสนาซึ่งมีการทำมากันตั้งแต่ในสมัยโบราณ เรียกได้ว่าเป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวไทยรามัญเลยก็ว่าได้ซึ่งประเพณีนี้จะเป็นการบูชาพระสงฆ์โดยจะมีการจัดขึ้นในวันออกพรรษาโดยเชื่อว่าการทำประเพณีนี้ในวันออกพรรษานั้นจะทำให้ได้บุญเยอะซึ่งประเพณีดังกล่าวก็คือประเพณีตักบาตรดอกไม้และล้างเท้าพระนั่นเอง 

         สำหรับการจัดประเพณีตักบาตรดอกไม้ได้ล้างเท้าพระนั้นนักท่องเที่ยวที่สนใจจะไปร่วมกิจกรรมประเพณีนี้อาจจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับวันและเวลาของการจัดประเพณีของจังหวัดสมุทรสาครเนื่องจากว่าอาจจะไม่จัดตรงกันในทุกๆปีดังนั้นสามารถเข้าไปเช็คเว็บไซต์

ของจังหวัดสมุทรสาครหรือ Facebook การท่องเที่ยวประจำจังหวัดเพื่อทำการเช็คข้อมูลก่อนว่าประเพณีตักบาตรดอกไม้และล้างเท้าพระนั้นในแต่ละปีจะมีการจัดขึ้นในวันที่เท่าไหร่เพื่อที่จะได้ไม่พลาดในการเดินทางไปร่วมงาน

        อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่สนใจจะไปร่วมกิจกรรมนั้นสามารถเดินทางไปร่วมกิจกรรมได้ที่วัดเจ็ดริ้วซึ่งวัดแห่งนี้นั้นจะอยู่ในเขตพื้นที่ของตำบลเจ็ดริ้วและอำเภอบ้านแพ้ว

โดยวิธีการของการเข้าร่วมประเพณีนี้ก็คือชาวบ้านจะพากันนำน้ำสะอาดนำมาใส่น้ำปรุงเครื่องหอมต่างๆและนำดอกไม้มาโรยซึ่งดอกไม้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นดอกมะลิและดอกกุหลาบหลังจากนั้นก็นำมาลดบนเท้าของพระสงฆ์ซึ่งอยู่ภายในวัดเจ็ดริ้วนอกจากจะมีการล้างเท้าให้พระแล้วก็ยังมีการนำดอกไม้มาถวายให้พระสงฆ์และทำบุญตักบาตรที่วัดเจ็ดริ้วอีกด้วย

           อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดประเพณีตักบาตรดอกไม้และล้างเท้าพระนั้นจะมีการทำขึ้นที่วัดและไม่ได้มีกิจกรรมการออกบูธหรือการนำอาหารมาขายจะมีกิจกรรมเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของการทำบุญในวันดังกล่าวเพียงเท่านั้นแต่ถ้านักท่องเที่ยวคนไหนที่สนใจไปร่วมกิจกรรมประเพณีนี้เมื่อทำกิจกรรมนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วนักท่องเที่ยวก็สามารถไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆภายในจังหวัดสมุทรสาครได้เนื่องจากว่าจังหวัดสมุทรสาครนั้นเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด

        ทั้งแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและมีของกินของใช้เยอะแยะมากมายให้นักท่องเที่ยวได้ช้อปปิ้งดังนั้นหากใครที่มีเวลาว่างแนะนำว่าลองไปร่วมงานประเพณีตักบาตรดอกไม้และล้างเท้าพระที่จังหวัดสมุทรสาครกันดูนะคะเพราะจังหวัดนี้อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนะใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นก็ถึงแล้ว 

 

สนับสนุนโดย.  Ufabet เข้าสู่ระบบ

ความหมายเกี่ยวกับธงชาติของประเทศ เบลิซ

ความหมายเกี่ยวกับธงชาติของประเทศ เบลิซ และประเทศสหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเวนิส

          ความหมายเกี่ยวกับธงชาติ สำหรับในบทความนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของธงชาติของประเทศเบลีซและประเทศสหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเวนิส วาดธงชาติของแต่ละประเทศนั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไรทำไมถึงมีรูปร่างลักษณะและมีสีอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของประวัติของธงชาติ

           อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าในแต่ละประเทศนั้นจะมีธงชาติซึ่งแสดงถึงสัญลักษณ์ของประเทศตนเองซึ่งประเทศไทยเองก็มีเป็นของธงชาติไทยและธงชาติแต่ละประเทศนั้นก็มีประวัติความเป็นมาเป็นของตนเอง รวมถึงมีประวัติความเป็นมาไม่ซ้ำกัน ซึ่งถ้าหากเราอยากรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของประเทศดังกล่าวหรือประวัติความเป็นมาของประเทศนั้นว่าศูนย์กลางหรือศูนย์รวมจิตใจของประเทศดังกล่าวนั้นคืออะไรก็สามารถดูได้จากสัญลักษณ์ที่มาพร้อมกับธงชาตินั่นเอง

         สำหรับประเทศเบลิซนั้นตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของอเมริกากลางริมทะเลแคริบเบียนมีธงชาติเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินบนผืนธงนั้นหมายถึงท้องทะเลส่วนขอบบนและล่างมีแถบสีแดงหมายถึงการปกป้องแผ่นดินทั้ง 2 สีนี้ยังเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำเรียกร้องเอกราชให้กับประเทศด้วยวงกลมสีขาวกลางธงคือตราแผ่นดินรูปโลก

           โดยจะมีการแบ่งเป็น 3 ส่วนส่วนแรกมีขวานกับไม้พายส่วนที่ 2 ขวานกับเลื่อยส่วนที่ 3 เรือใบแล่นอยู่ในทะเลเบื้องหลังของโลกมีต้นมะฮอกกานีเบื้องซ้ายเป็นคนงานผิวเหลือง

แบบขวานเบื้องขวาเป็นคนงานผิวดำแบบภายยืนของโลกเบื้องล่างมีคำขวัญประจำชาติเป็นภาษาละตินแปลว่าเราเจริญขึ้นภายใต้ร่มเงาหมายถึงอุตสาหกรรมไม้มะฮอกกานีที่เป็นอุตสาหกรรมสำคัญของชาติและใบมักกะโรนีที่ล้อมรอบตราแผ่นดิน 50 ใบหมายถึงในปี 1950 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชจากสหราชอาณาจักรทรงปี 1981 ได้รับเอกราชตรงนี้ซึ่งมีฐานะเป็นธงชาติอย่างเป็นทางการ 

       ประเทศสหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเวนิสประเทศหมู่เกาะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของเครือจักรภพอังกฤษตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียนถูกจัดให้เป็นประเทศที่เล็กที่สุดในซีกโลกตะวันตกลงของเซนต์คิตส์และเนวิสมีพื้นสีเขียวและแดงมีแถบดำขอบเหลืองภาคตามแนวทแยงมุมภายในแถบมีดาวสีขาว 2 ดวง

เริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 กันยายนปี 1983 สีเขียวหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินสีแดงหมายถึงการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชสีดำหมายถึงประชาชนในประเทศที่สืบเชื้อสายจากชนในทวีปแอฟริกาสีเหลืองคือแสงของดวงอาทิตย์และดวงดาวสีขาว 2 ดวงเป็นตัวแทนของความหวังและอิสรภาพ 

 

สนับสนุเนื้อหาต่างๆโดย  สล็อต ufabet เว็บตรง

การสังหารชาวผิวขาวของ เจอโรนิโม อาปาเช 

ในปีคริสต์ศักราช 1858 เรื่องร้ายแรงในชีวิตก็เกิดขึ้นกับเจอโรนิโมเมื่อเขากลับจากการคุมกองเกวียนแลกเปลี่ยนสินค้าที่ต่างแดนซึ่งเวลานั้นเผ่าของเขาปักหลับอยู่ในเขตเม็กซิโกแต่พอกลับถึงค่ายก็เห็นกระโจมทุกกระโจมถูกเผาทั้งค่ายเต็มมไปด้วยซากศพของคนในเผา

ชาวผิวขาวของ เจอโรนิโม อาปาเช  ในจำนวนนั้นก็มีร่างของภรรยาและลูกสามคนของเขารมอยู่ด้วยค่ายของเขาถูกทหารสเปนที่ร่วมกับโจนเม็กซิกันบุกเข้าโจมตีและปล้นค่ายไปก่อนหน้าที่พวกเขา

จะกลับมาถึงไม่นานนักเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเปลี่ยนแปลงชชีวิตเจอโรนิโมไปในทันทีนับจากนั้นเขาประกาศที่จะเด็ดชีวิตคนขาวหนึ่งคนแรกกับอินเดียหนึ่งศพที่เขาพบนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งกองกำลังนักรบเผ่าอาปาเชเอกทำสงครามกับคนผิวขาวไปทุกหนแห่ง

โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องสังหารทหารสเปนเม็กซิกันและอเมริกันทุกคนที่เห็นเนื่องจากความเกียจชังทหารที่เข้าทำลายนิคมชาอินเดียทุกหนทุกแห่งเพียงเพื่อต้องการข่มขวัญให้พวกอินเดียยินยอมอพยพย้ายเข้าไปอยู่ในนิคมอินเดียที่พวกเขาจัดหาให้เท่านั้น

นอกจากนี้เจอโรนิโมเคยประกาศว่าเขาจะขอต่อสู้กับทหารทุกคนที่บีบบังคับขับไล่ให้ชาวอินเดียเข้าไปอยู่ในเขตกักกันเพราะชาวอินเดียทุกคนมีอิสระที่จะไปไหนก็ได้ดังนั้นจึงไม่มีใครที่จะมาพรากความอิสระเสรีไปจากชาวอินเดียได้และตราบใดที่คนขาวสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ชาวอินเดียก็สามารถอยู่ที่ไหนก็ได้เช่นการ

การบุกทำลายกองทหารผิวขาวของเจอโรนิโมโคชีดและกองนักรบอาปาเชของเขาสร้างความอกสั่นขวัญเสียให้กับคนขาวอย่างมากไม่ว่ารบที่ไหนก็ไม่เคยมีครั้งใดที่ไม่สร้างความเสียหายให้กับทหารผิวขาวอย่างมหาศาลแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเจอโรนิโมได้ทำตามที่ประกาศเอาไว้อย่างไม่มีวันลืมไม่ว่าเขาจะพบเผ่าชาวอินเดียเผ่าใดล้มตายด้วยฝีมือคนขาวก็ตามเขาจะสืบจนพบผู้ที่ทำลายชีวิตอินเดียเหล่านั้นและตามไปสังหารคนเหล่านั้นจนสิ้นซากไม่เคยเว้น

เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนไม่ว่าคนขาวเหล่านั้นจะเป็นชาวนาพ่อค้าหรือพระก็ตามถ้าหากคนเหล่านั้นสามารถจับอาวุธสังหารชาวอินเดียได้คนพวกนั้นก็ต้องได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกัน    ีดฟิำะ    เป็นชีวิตแลกชีวิตอย่างที่เจอโรนิโมสั่นวาจาไว้ต่อมาโคชีดเสียชีวิตลงในปีคริสต์ศักราช 1874

ระหว่างที่กำลังหลบหนีการไล่ล่าของทหารสหรัฐในการสู้รบครั้งหนึ่งเจอน้องเขยของเจอโรนิโมจึงขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อมาแต่โดยพฤตินัยแล้วเจอโรนิโมก็ยังเป็นคงเป็นผู้นำกลุ่มนักรบอาปาเชของเขาอยู่ดี

ประวัติพระใหญ่เทียนถาน ประเทศฮ่องกง และพระใหญ่โฝ กวง ซาน ประเทศไต้หวัน

พระใหญ่เทียนถาน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง 

   ประวัติพระใหญ่เทียนถาน ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อประเทศฮ่องกงนั้น มี พระพุทธรูปสำริดปางนั่งขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งพระพุทธรูปดังกล่าวมีชื่อว่า พระใหญ่เทียนถาน  โดยพระพุทธรูปนี้อยู่บริเวณหนองปิง ซึ่งเป็นที่ราบสูงทางตะวันตกของเกาะลันเตา   โดยเกาะแห่งนี้คือหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สำคัญของฮ่องกง

              นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นกระเช้าลอยฟ้ากระจกใสที่มองเห็นทิวทัศน์ได้แบบรอบทิศทางเพื่อชมความยิ่งใหญ่และสง่างามขององค์พระพุทธรูปซึ่งสูง 34 เมตร  ด้านล่างประดับรูปปั้นเทพธิดาทั้ง 6 ที่ ที่ลักษณะของรูปปั้นของเทพธิดานั้นมีลักษณะคล้ายกับว่าเทพธิดาองค์หนึ่งนั้นกำลังถวายดอกไม้   ส่วนเทพธิดาอีกองค์นึงก็กำลังถวายธูปเทียน  นอกจากนี้เทพที่ได้อีกองค์นึงก็ถวายโคมไฟ  และเทพธิดาอีกองค์นึงก็ถวายผลไม้และดนตรี  นั่นเอง  ซึ่ง รูปปั้นเทพธิดาเหล่านี้นั้นเป็นสัญลักษณ์แทนปรมัตถ์หรือที่เราเรียกกันว่าความดีพร้อมทั้ง 6 ประการ 

           สำหรับความดีพร้อมทั้ง 6 ประการนั้นเป็นความดีพร้อมที่พระพุทธเจ้านั้นได้ทรงตรัสรู้ในสิ่งต่างๆทั้ง 6 อย่างด้วยกันซึ่งได้แก่  การตรัสรู้เรื่องของความใจกว้าง  นอกจากนี้ยังตัดรู้ได้ถึงความมีศีลธรรมและตรัสรู้ได้ถึง ความอดทน รวมถึงความกระตือรือร้น ยังมีการตรัสรู้เรื่อง การทำสมาธิและปัญญาอีกด้วย 

             ดังนั้นที่นี่จึง นับเป็นอีกสถานที่ยอดนิยมอีกแห่ง สำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวท้องถิ่นและชาวต่างชาติที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและยังมีสถานที่ท่องเที่ยวและจุดที่น่าสนใจอีกหลายแห่งเช่น Po Lin Monastery  สำหรับพุทธศาสนิกชนที่ต้องการศึกษาและปฏิบัติธรรมมีอาหารเจให้บริการ   หมู่บ้าน Ngong Ping ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีกระเช้าลอยฟ้าเป็นหมู่บ้านขนาดประมาณ 15000 ตารางเมตรลักษณะบ้านเรือนสะท้อนถึงวัฒนธรรมแบบจีน  มีร้านค้าร้านอาหาร  ร้านน้ำชาและโรงละคร รวมถึงยังมี หมู่บ้านชาวประมงที่จะได้เยี่ยมชมวิถีชีวิตและชิมอาหารท้องถิ่นอีกด้วย 

  Fo Guang shan หรือ สำหรับพระใหญ่โฝ กวง ซาน   ประเทศไต้หวัน

               พุทธอุทยานโฝ กวง ซานเป็นสวนทางด้านศาสนาพุทธที่มีขนาดกว้างใหญ่อลังการมากที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวันเพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2011 มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งก็คือ  สำหรับพระใหญ่โฝ กวง ซาน   พร้อมกับ เจดีย์ ขนาดใหญ่เรียงรายด้านหน้าอยู่สองข้างและมีฉากหลังเป็นภูเขาทำให้ได้รับการแนะนำในเว็บไซต์ต่างๆจึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมกันมากมายกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของประเทศไต้หวันภายในเวลาไม่นาน

         ว่ากันว่าปัจจุบันเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวและมาเยี่ยมชมมากที่สุดของไต้หวัน  ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองเกาโส ห่างไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร  นอกจากนี้ภายในพุทธอุทยาน โฝ กวง ซานแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆมากมายตั้งแต่ส่วนพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของประเทศไต้หวันและยังเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเขี่ยวหรือฟันของพระพุทธเจ้าด้วยมีเจดีย์ทั้งหมด 8 เจดีย์  และยังมีวิหารหน้าขนาดใหญ่ยักษ์และอาคารอื่นๆอีกมากมาย 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย.    gclub

ตํานานงูยักษ์และพญานาค 

  พญานาคหรือหน้าในตำนานไทย 

     ตํานานงูยักษ์และพญานาค  พญานาคนั้นมีลักษณะคือเป็นงูใหญ่มีหงอนสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ความอุดมสมบูรณ์ความมีวาสนาและหน้ายังคงเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาลนาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำบางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้าตำนานความเชื่อเรื่องพญานาคมีความเก่าแก่มากและดูท่าทางว่าจะเก่าแก่พระพุทธศาสนาอีกด้วยลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคนั้นจะแตกต่างกันออกไป

          แต่พื้นฐานก็คือพญานาคมีลักษณะตัวเป็นงูใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดงเกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมีบ้านก็ว่ามีสีเขียวบ้างก็ว่ามีสีดำหรือบ้านก็มี 7 และที่สำคัญก็คือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเสียงเดียวแต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียรห้าเศียร 7 เศียรและ 9 เศียรพญานาคนั้นมีทั้งเกิดในน้ำและเกิดขึ้นบกเกิดจากครรภ์และเกิดจากไข่มีอิทธิฤทธิ์สามารถสร้างบันดาลให้คุณและโทษได้

อนันตนาคราช พญานาคในตำนานอินเดีย

       ตำนานพญานาคนั้นมีต้นกำเนิดมาจากทางอินเดียใต้ด้วยเหตุจากภูมิประเทศของทางอินเดียใต้มีลักษณะเป็นป่าเขารกทึบจึงทำให้มีงูอาศัยอยู่ชุกชุมและด้วยเหตุที่งูนั้นมีลักษณะทางกายภาพที่ดูมีพลังอำนาจน่าเกรงขามและมีพิษร้ายแรงมากชาวอินเดียจึงให้ความเคารพนับถืองูเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้านบ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์จึงเป็นต้นกำเนิดแห่งความเชื่อความศรัทธาในเรื่องราวความเป็นมาของพญานาค

       สำหรับพญานาคที่มีพลังอำนาจสูงที่สุดของเหล่าพญานาคทั้งปวงนั้นก็คือพญาอนันตนาคราชคำว่าอนันตมีความหมายว่าอนันต์ไร้จุดจบซึ่งพญาอนันตนาคราชนั้นมีความยาวมากจึงไม่สามารถวัดได้หรือยาวแบบไม่มีที่สิ้นสุดมีเสียงเป็นพันๆเสียงแต่เรามักจะเห็นอนันตนาคราชในลักษณะที่หดตัวเป็นเตียงให้กับพระนารายณ์ในความเชื่อของศาสนาฮินดูนั้นเชื่อว่าพญาอนันตนาคราชเป็นผู้ทำลายโลกอนันตนาคราชนั้นเป็นใหญ่ในเมืองบาดาลและเป็นราชาแห่งนาคทั้งปวง

Jprmungandr งูยักษ์แห่งตํานานเทพนอร์ส

         หากใครเคยเล่นเกม God of War ภาคใหม่ก็คงจะเคยเห็นงูที่มีขนาดตัวใหญ่ยักษ์สีขาวที่มีชื่อว่า  ยอมันกัน หรืออีกชื่อนึงก็คือ The World serpent หรือมิดการ์ดเซอร์เพนท์ นั่นเอง  งูยักษ์แห่งดินแดนมิดการ์ด ในตำนานเทพเจ้านอร์ส ที่มีชื่อว่า ยอมันกัน นั้นเป็นบุตรของโลกิและเป็นพี่น้องกับ เฟรนริว และ เฮลล์ 

        สำหรับยอมันกัน นั้นเป็นหนึ่งในรางบอกเหตุที่จะทำให้เกิดวันแร็กนาร็อกขึ้นตามคำทำนายจึงถูก Odin โยนลงทะเลในดินแดนมีแต่ทว่าเจ้างูใหญ่นั้นไม่ได้ตายไปและเติบโตขึ้นเรื่อยๆจนตัวมันใหญ่และยาวพอที่จะพันรอบโลกได้จากคำทำนายในวันแรกนาร็อกงูยักษ์จะสู้กับเทพทอร์ และถูกเทพทอร์ นั้นกำจัดไปในที่สุดแต่ทว่าเทพโทรเองก็ได้ถูกผิดของเจ้ายอมันกันนั้นจนเดินได้เพียง 99 เท่านั้นก่อนที่จะล้มลงและตายจากไป

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ufabet

อาณาจักรโบราณที่เคยมีอยู่บนผืนแผ่นดินไทย

      อาณาจักรโบราณ  เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์กันมาบ้างแล้วซึ่งในหนังสือประวัติศาสตร์นั้นก็จะมีการพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของการขยายอาณาจักรหรืออาณาเขตต่างๆ

โดยจะมีการบอกว่าในอดีตนั้นประเทศไทยเคยมีอาณาจักรอะไรบ้างซึ่งส่วนใหญ่เราก็จะได้ยินอาณาจักรแค่เพียงประมาณ 4-5 อาณาจักรเพียงเท่านั้นแต่อันที่จริงแล้วในประเทศไทยในสมัยอดีตนั้นมีมากมายกว่า 10 อาณาจักรเลยทีเดียว

        ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่มีการสิ้นสุดการปกครองแบบอาณาจักรประเทศไทยจึงได้มีการเปลี่ยนมาปกครองในรูปแบบของประเทศซึ่งก็ได้มีการแบ่งเขตพื้นที่การปกครองออกเป็นจังหวัดโดยมีศูนย์กลางของความเจริญรุ่งเรืองนั่นก็คือเมืองหลวงเป็นกรุงเทพฯนั่นเองซึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนจากอาณาจักรมาเป็นประเทศนั้นเราก็มีการปกครองในรูปแบบของ เมืองอย่างเช่นการปกครองในสมัยยุคของกรุงรัตนโกสินทร์หรือการปกครองในสมัยกรุงศรีอยุธยารวมถึงการปกครองสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้น

        อย่างไรก็ตามสำหรับบทความนี้เราจะมีการพูดถึงอาณาจักรที่เคยมีมาในสมัยโบราณซึ่งหลายคนนั้นอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงแต่ในอาณาจักรเรานี้ก็ยังคงมีอยู่จริงในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทย  ซึ่งอาณาจักรที่จะมีการแนะนำข้อมูลดังต่อไปนี้เชื่อว่าหลายคนนั้นอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนซึ่งส่วนใหญ่และเป็นอาณาจักรที่อยู่ในเขตพื้นที่ภาคใต้ของไทยนั้นเอง  โดยในบทความนี้จะมีการแนะนำทั้งสิ้นจำนวน 3 อาณาจักรด้วยกัน ซึ่งได้แก่ 

อาณาจักรตามพรลิงค์

        ชุมชนชายฝั่งทะเลภาคใต้ของประเทศไทยเป็นเมืองท่าค้าขายกับชาวจีนและอินเดียศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเจริญรุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ถึง 18 ศาสนสถานที่สำคัญของอาณาจักรนี้คือพระบรมธาตุเจดีย์แห่งวัดมหาธาตุสัญลักษณ์ของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากศรีลังกาเข้ามาในประเทศไทยเป็นที่แรกก่อนจะแพร่หลายไปยังอาณาจักรอื่นๆต่อไป

        อาณาจักรศรีวิชัย

      อาณาจักรที่กินพื้นที่ตั้งแต่อำเภอไชยาจังหวัดสุราษฎร์ธานีหรือภาคใต้ของประเทศไทยทั้งหมดครอบคลุมแหลมมลายูไปจนถึงเกาะชวาในอินโดนีเซียมีศูนย์กลางที่เมืองปาเล็มบังบนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียรุ่งเรืองอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-19 หลักฐานสำคัญที่พบในประเทศไทยก็คือพระบรมธาตุไชยาและเทวรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรครึ่งท่อนบนอันงดงามปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร 

       นอกจากนี้ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยจึงมีอาณาจักรลังกาสุกะบริเวณอำเภอยะรังจังหวัดปัตตานีของไทยซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณที่รุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่ 7 ถึง 14 ก่อนที่จะถูกอาณาจักรศรีวิชัยเข้าครอบครอง

  อย่างไรก็ตาม ในเขตพื้นทีภาคอีสาน และพื้นที่ภาคเหนือของไทยก็เคยมีอาณาจักรที่เคยเกิดขึ้นและเคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อนเช่นเดียวกัน

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ufabet ฝาก-ถอน ออโต้